14:34

เส้นทางผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ... โทนี่ แบลร์


บทบาทความเป็นผู้นำของ "โทนี่ แบลร์" ไม่เพียงแต่โดดเด่นในความเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่ครองตำแหน่งยาวนานถึง 10 ปีเท่านั้น แต่ยังชัดเจนในตำแหน่งของนักการทูตพิเศษประจำตะวันออกกลาง หนึ่งในคณะผู้เจรจา 4 ฝ่ายในกระบวนการสร้างสันติภาพตะวันออกกลาง ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐ รัสเซีย สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ จนได้รับรางวัลผู้นำโลก "แดน เดวิด ไพรซ์" เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เขาคิดกันอย่างไร ทำอะไรกันบ้างในแต่ละวัน

"โทนี่ แบลร์" ได้เล่าถึงช่วงเวลาแห่งความท้าทายในการเป็นผู้นำให้ฟังว่า ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งไม่ได้มาตามธรรมชาติ แต่ได้เรียนรู้การเป็นผู้นำในเรื่องของความกล้าหาญในการ ตัดสินใจในการทำงานต่างๆ มากมาย

ในปี 1997 ที่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่เป็น ฝ่ายค้านอยู่หลายปี โทนี่ แบลร์จึงเริ่มต้นด้วยถามคำถามว่า เขาควรต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร






"การอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมอยากทำให้คนทุกคนพอใจในการทำงานมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า เมื่อเป็นรัฐบาลปกครองประเทศ คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ตลอดเวลา หน้าที่ของคุณคือจะต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้บางครั้งจะต้องยืนขึ้นท่ามกลางความท้าทายต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น"

"ผมฟังสาธารณชน แต่บางครั้งการพูดถึงสิ่งต่างๆ ของสาธารณชนก็ไม่มีมติเป็นเอกฉันท์ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงต้องตัดสินใจ นั่นหมายความว่าผู้นำจำเป็นต้องฟังและนำไปด้วย สร้างความสมดุลระหว่างการฟังกับความเป็นผู้นำ"

นั่นคือสิ่งที่โทนี่ แบลร์บอกว่า เขาได้เรียนรู้ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ยิ่งใกล้เวลาที่เขาจะหมดวาระ ความนิยมชมชอบในตัวเขาในฐานะผู้นำจึงน้อยลงเรื่อยๆ แต่สำหรับตัวโทนี่ แบลร์เองเขากลับมีความสุขสบายใจมากขึ้น เพราะเขาเลิกที่จะทำให้ทุกคนพอใจ

โทนี่ แบลร์บอกว่า ไม่ว่าจะป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล ครู ผู้นำองค์กรชุมชน หรือผู้นำในบริษัท ผู้นำในองค์กรธุรกิจต่างๆ สิ่งหนึ่งที่ทุกต้องมีเหมือนกันหมด คือการเตรียมพร้อมที่จะ ตัดสินใจและรับผิดชอบในการตัดสินใจ แม้ว่าในบางครั้งอาจจะ มีคนที่ไม่พอใจในการตัดสินใจของผู้นำ มีการต่อสู้ มีการประท้วง มีการโจมตี มีการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ในฐานะผู้นำต้อง เตรียมพร้อมที่จะรับมือ

ในช่วงที่เริ่มต้นทำการปฏิรูประบบราชการในอังกฤษ ก็มีเสียงคัดค้านมากมาย หลายคนบอกว่าเป็นการทำลายระบบราชการ ในช่วง 2- 3 ปีแรกจึงต้องทำงานอย่างระมัดระวังมาก แต่ท้ายที่สุดก็สามารถที่จะควบคุมทุกอย่างได้ ช่วง 2 ปีสุดท้ายในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการ การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูประบบสาธารณสุข ก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งที่ "โทนี่ แบลร์" แชร์ ประสบการณ์ให้ฟัง นั่นคือในช่วงเวลาของความยากลำบากจะมีความคิดเห็นของสาธารณะเกิดขึ้นมากมาย นายกฯจะอยู่ใน ความสนใจของประชาชนตลอดเวลา แต่สุดท้ายแล้วนายกรัฐมนตรีจะเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างบนคนเดียว เป็นเอกสิทธิ์ของความเป็นผู้นำในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ

คนอื่นๆ ที่เคยยืนอยู่ข้างๆ จะถอยหลังออกไป ซึ่งช่วงเวลานั้นผู้นำไม่ควรรู้สึกเสียใจ เพราะงานตรงนี้คุณเป็นคนอาสาเข้ามาทำเอง

แน่นอนว่าผู้นำต้องทำหลายต่อหลายเรื่องไปพร้อมๆ กัน ทั้งกำหนดวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี เป้าหมาย และต้องมีการติดต่อสื่อสารกับทุกคนในทีมงาน ผู้นำจะบริหารความแตกต่างตรงนี้อย่างไร

ผู้นำจะต้องรู้ว่าเป้าหมายของคุณเป็นอย่างไร และจะต้องสื่อสารกับทุกๆ คนในทีมให้รู้ว่าเป้าหมายของคุณเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี

"โทนี่ แบลร์" บอกว่า บางครั้งเขาก็สมมติ หรือคิดเอาว่า ทุกๆ คนเข้าข้างเขาทั้งหมด แต่จริงๆ แล้ว ทุกๆ คนก็ไม่ได้เข้าข้างผมทั้งหมด แล้วบางคนอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ ฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องทำในฐานะผู้นำ นอกจากจะอธิบายแล้วจะต้องสร้างแรงจูงใจให้กับทีมงานด้วย

โทนี่ แบลร์ยังบอกต่อไปอีกว่า เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ ผู้นำจำเป็นที่จะต้องมีการแสดงตัวเองออกมาและต้องมีความซื่อสัตย์กับทุกคน เมื่อต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นว่า คุณจะสามารถพาพวกเขาผ่านพ้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปได้

สิ่งหนึ่งที่โทนี่ แบลร์คิดว่าสำคัญที่สุดในเรื่องของความเป็นผู้นำ คือทำให้คนรู้สึกมีความเชื่อมั่น และรู้สึกมองโลกในแง่ดี

"ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจจะก่อให้เกิดความเจ็บปวด การสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ถ้าสามารถผ่านพ้นไปได้ก็จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ดังนั้นบางครั้งผู้นำต้องเตือนตัวเองให้ทำ ซึ่งไม่ใช่แค่การมองโลกในแง่ดีตามธรรมชาติเท่านั้น ก่อนออกจากบ้านคุณอาจจะทะเลาะกับภรรยา หรือลูกอาจจะทำอะไรที่ไม่ดีที่โรงเรียน แต่เมื่อเดินออกมาทำงาน ผู้นำจำเป็นต้องพร้อมที่จะทำงาน ทำวันนั้น ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะรู้สึกแย่ขนาดไหนก็ต้องทำให้ได้"

"โทนี่ แบลร์" บอกว่า ผู้นำต้องสามารถจัดการกับความล้มเหลวได้

"ผมจำได้ พรรคแรงงานเป็นพรรคฝ่ายซ้าย ผมอาจจะไม่ใช่คนที่อยู่ฝ่ายซ้ายเท่าไหร่ ในการเลือกตั้งก็ต้องพ่ายแพ้ไป ตอนนั้นภาพลักษณ์ของพรรคแรงงานก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ภรรยาของผมก็บอกกับผมว่า ต้องพยายามเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีช่วงเวลาที่ดีในวันนี้

บางครั้ง คุณอาจจะอยู่ในสถานการณ์ธุรกิจล้มเหลว คุณก็ต้องยอมรับและเรียนรู้ เพราะถ้าคุณมายืนในจุดที่ประสบความสำเร็จ คุณก็จะพบคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอล ผู้นำทางการเมือง หรือซูเปอร์สตาร์ ทุกคนล้วนแต่มี 3 สิ่งในตัวเอง นั่นคือมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ทุกคนทำงานหนัก แต่ช่วงเวลา พักผ่อน เขาจะเลือกใช้ชีวิตที่เยี่ยมยอดที่สุด และสิ่งที่ผู้นำจะขาดไม่ได้คือเขาต้องสามารถลุกขึ้นมายืนได้จากความล้มเหลว"

"คนที่ยิ่งใหญ่จะต้องมีการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง เรียนรู้เกี่ยวกับผู้อื่น เรียนรู้เกี่ยวกับโลก โดยส่วนตัวเองก็ยังมีสิ่งต่างๆ ที่ยังต้องเรียนรู้อีกมากมายในการที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งผู้นำจะต้องมีความรู้สึกอย่างนี้ตลอดชีวิต"

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้ "โทนี่ แบลร์" บอกว่า เขาพยายามใช้เวลาในการพิจารณาไต่ตรองสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา โดยในวันศุกร์สุดสัปดาห์ เขาจะไปบ้านพักผ่อนของนายกรัฐมนตรีแล้วใช้เวลาคิดไตร่ตรองการทำงานทั้งหมด หยิบปากกาแล้วเขียนโน้ตว่าตัวเองพยายามทำอะไรอยู่ อะไรที่ผิด อะไรที่ถูก

"โทนี่ แบลร์" ย้ำว่า การพิจารณาไตร่ตรองการทำงานต่างๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตการเป็นผู้นำ ผู้นำต้องเตรียมพร้อมที่จะรับกับการเปลี่ยนแปลง ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และต้องเสียสละอะไรหลายอย่างที่คนธรรมดาทำไม่ได้

"โทนี่ แบลร์" ทิ้งท้ายว่า ผู้นำต้องไม่คิดสงสารตัวเอง ถ้าวันหนึ่งคุณลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเจอเรื่องแย่ๆ แล้วรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม คุณไม่สามารถเป็นผู้นำได้ เพราะตำแหน่งนี้เป็นความสมัครใจที่คุณอาสาเข้ามาทำหน้าที่เอง ไม่มีใครบังคับให้คุณเป็นผู้นำ แต่คุณเลือกที่จะเข้ามาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงห้ามที่จะคิดสงสารตัวเอง


Special Issue
วันที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4121

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น