09:29

ด้วยจิตสาธารณะ ประมวล เพ็งจันทร์

 

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราว การเดินทางด้วยเท้ากว่า 1,200 กิโลเมตร จากเชียงใหม่สู่เกาะสมุย โดยปราศจากการใช้เงินตรา

และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อแสวงหาความหมายที่น้อยคนนักจะได้พบของ ประมวล เพ็งจันทร์ เจ้าของผลงาน “เดินสู่อิสรภาพ”

อดีตอาจารย์สอนวิชาปรัชญามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งผิดหวังต่อระบบอุดมศึกษาที่ถูกทำให้กลายเป็นธุรกิจการศึกษา ทำให้เขาลาออกจากความเป็นอาจารย์และมุ่งมั่นออกเดินทางครั้งสำคัญในชีวิตด้วยหวังว่าจะค้นพบความหมายและคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง ภายหลังการเดิน-หนังสือเดินสู่อิสรภาพจึงได้ปรากฏออกมาเป็นเหมือนบันทึกความทรงจำที่จะแบ่งปันประสบการณ์อันงดงาม ความรู้สึกที่ดีตลอดระยะเวลาการเดินทาง

ปัจจุบันเขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเชียงใหม่กับคู่ชีวิตที่น่ารัก นอกจากงานเขียนหนังสือและการรับเชิญไปเป็นวิทยากรในกิจกรรมต่างๆ แล้ว เขายังมีอีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นอนุกรรมการด้านรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในโครงการปรับปรุงพื้นที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่เดิมให้เป็นสวนสาธารณะ จากบทบาทใหม่นี้ทำให้เกิดการเรียนรู้และค้นพบความหมายของ 'สาธารณะ' ในแง่มุมต่างๆ ที่สะท้อนไปสู่สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี


อะไรทำให้อาจารย์เข้ามาทำกิจกรรมสาธารณะตรงนี้

เมื่อไปถึงจุดๆ หนึ่งที่ผมบอกว่าไม่ต้องการจะมีอำนาจ ไม่ต้องการมีอิสรภาพ ชีวิตที่ไม่ต้องการจะมีอำนาจ ไม่ต้องการมีอิสรภาพนี้ต่างหากที่ทำให้รู้สึกว่าผมเป็นอิสระ และพร้อมจะรับใช้ผู้อื่น พร้อมที่จะทำหรือเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งทำให้ผมพบว่าการเสนอตัวเข้าไปรับใช้คนอื่นนี้ มันกลับมีอิสระอย่างมหัศจรรย์ เมื่อมีคนรู้จักเขาขอให้ไปช่วยฟังความเห็นของประชาชน คือทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่กำลังจะย้ายออกไป แล้วเทศบาลซึ่งเป็นผู้จัดการจะใช้พื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะ ผมพอจะเข้าไปมีส่วนร่วมโดยเป็นอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นฯ ได้ไหม ผมก็ยินดี

ตอนนั้นผมคิดเพียงแค่ว่าอะไรก็ได้ ถ้าเป็นการรับใช้ผู้อื่นผมพร้อมจะทำ หากขอให้ผมไปสั่งสอนคนอื่นผมไม่ทำ นี่เป็นปฏิญาณของผมเพราะผมไม่ต้องการจะมีอำนาจเหนือผู้อื่น ความเห็นความรู้สึกของคนเหล่านั้นจะสื่อถึงบางสิ่งบางอย่างที่ให้ผมทำต่อไปได้ นี่คือความเปลี่ยนแปลงในทัศนะหรือในความรู้สึกของผม ก็คือชีวิตมันไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว แต่เป็นเรื่องสาธารณะด้วย เพราะการรับใช้คือการที่มีตัวตนของเราอยู่ เพื่อทำให้ความหวัง ความปรารถนาดีๆ ของคนอื่นบรรลุผล ตรงนี้คือความหมายของการรับใช้ และผมเข้าใจว่ามันคืออิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ เป็นความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่ลุ่มลึก

ความหมายของคำว่า 'สาธารณะ' ในทัศนะนี้จึงหมายถึงการคิดคำนึงถึงผู้อื่น ?

เป็นความรู้สึกที่คิดคำนึงถึงผู้อื่นมากขึ้น เมื่อเราพูดเรื่องเรื่องพื้นที่สาธารณะซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะข้างนอก เราจะไม่ไปหยิบฉวยกล่าวอ้างโดยส่วนตัวเป็นฝ่ายเดียว ซึ่งต่างจากพื้นที่ในบ้านเรา ในบ้านเราเราจะทำอะไรก็ได้โดยเอาความต้องการตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่เมื่อเป็นพื้นที่สาธารณะเราคิดถึงความต้องการของสังคมโดยส่วนรวม สังคมต้องการอะไรเราก็อยากทำสิ่งนั้น สังคมขาดแคลนอะไรเราก็จะให้สิ่งนั้น ความคิดแบบนี้ผมจึงบอกว่ามันเป็นความคิดสาธารณะ ในอารมณ์ความรู้สึกพึงพอใจแบบชีวิตสาธารณะตรงนี้มันทำให้เกิดความรู้สึกแบบ “จิตสาธารณะ” จิตสาธารณะนี้มันมีพื้นที่ว่าง คล้ายๆ กับพื้นที่สาธารณะข้างนอก

สังเกตไหมครับ พื้นที่สาธารณะมักเป็นพื้นที่ว่างที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์สามารถใช้ทำกิจกรรมได้หลากหลาย สำหรับกฎเกณฑ์ของผมในช่วงเวลาที่ผ่านมาพบว่า จิตสาธารณะคือจิตที่มันว่าง พร้อมที่จะเอาอารมณ์ความรู้สึกของใครใส่ลงไปก็ได้ ที่พูดมานี้เพื่อจะบอกว่าความหมายของพื้นที่สาธารณะทั้งพื้นที่ข้างนอกและพื้นที่ข้างในมีความยึดโยงสัมพันธ์กัน

เข้าไปรับฟังความคิดเห็นของผู้คนเป็นอย่างไรบ้าง

คือผมเข้าไปด้วยจิตว่างเลยนะ โดยไม่ได้มีความคิดคำนึงรู้สึกอะไรมาก่อน พอเราไปนั่งฟังความต้องการของคนอื่น ผมเข้าใจว่าความหมายที่ยิ่งใหญ่มันอยู่ที่ว่า เราสามารถทำให้ได้ดังใจคนอื่น ไม่ใช่ทำให้ได้ดั่งใจเราปรารถนา พอเรารู้สึกว่าเราได้ทำสิ่งนี้ตามใจคนอื่นเนี่ย ความหมายของการกระทำมีทันทีเลย ผมไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ และเมื่อเขาแสดงออกมาแล้วผมพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ได้ดังใจเขา อย่าลืมว่าเราเสียเวลาจากการได้ยินเสียงตัวเองตลอดใช้ไหมแต่ไม่ได้ยินเสียงผู้อื่น แล้ววันนี้ผมได้ยินเสียงผู้อื่นมากขึ้น

อีกสิ่งที่พบคือ ในจิตของคนเมืองแต่ละคนๆ อัดแน่นไปด้วยความต้องการอะไรบางสิ่งบางอย่างแล้วไม่มีพื้นที่ให้เขาแสดงความต้องการนั้นออกมาได้ นึกถึงภาพดู บางคนซึ่งอยู่ในเมืองเชียงใหม่มาจนอายุ 50-60 บางคนเกษียณอายุราชการไปนานแล้ว วันหนึ่งเมื่อเขารู้ว่าพื้นที่ตรงนี้จะเปลี่ยนแปลงนะ เขาออกมาเลย ทำเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ซิ ผมเข้าใจว่าคนที่มาอยู่ตรงนี้ไม่ว่าออกมาด้วยความคิดอะไร เพียงแค่ด้วยเหตุง่ายๆ เช่น บางคนไปนั่งทานก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวนั้นแล้วเห็นแผ่นผ้าประกาศฯ ที่พาดอยู่ เมื่อกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วก็เดินออกมาเลย ง่ายมาก แต่ความหมายก็คือเพราะเหตุใดละคนๆ นี้จึงไม่เดินทางกลับบ้านหรือไปทำกิจธุระอื่น

จริงๆ แล้วผู้คนส่วนใหญ่เขาอยากให้เกิดอะไรขึ้น

ผมว่าน้ำเสียงที่ลึกมากๆ คือเสียงแห่งความรู้สึกปรารถนาอะไรซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงามในเชิงจิตใจ คือเขาอยากให้พื้นที่ตรงนั้นเป็น 'พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์' เขาไม่ได้ใช้คำนี้ตรงๆ เขาอาจใช้คำอื่นสารพัด เป็นพื้นที่มงคลอะไรก็ว่าไป มันมีอารมณ์ลึกๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไปทำสิ่งใหม่แต่รื้อฟื้นสิ่งที่เคยมี ภูมิปัญญาที่เคยรู้เพียงแต่เราหลงลืมมันไป ดังนั้นการสร้างพื้นที่สาธารณะจึงเป็นเหมือนกับพื้นที่ซึ่งทบทวนความรู้เดิมและรื้อฟื้นความทรงจำที่เคยกระจ่างชัดให้เกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้ที่มันมีอยู่ในใจคนหมายถึงว่าลึกๆ คนเราต้องการอะไรที่เป็นทั้งในนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งถ้านับโดยตัวเลขอาจบอกไม่ได้ว่ามากหรือน้อยแต่มันมีน้ำหนัก

แสดงว่า 'พื้นที่สาธารณะของจิตใจ' ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องจำเป็น ?

มันต้องเกิดขึ้นในใจของคน ให้เป็นจิตใจที่เป็นสาธารณะ คือครุ่นคิดคำนึงถึงสิ่งต่างๆ โดยมีผู้อื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดที่จะรู้สึกเช่นนั้นเช่นนี้ด้วย ตรงนี้ทำให้ผมคิดว่าพื้นที่สาธารณะข้างนอกมันมีความสัมพันธ์กับพื้นที่สาธารณะข้างใน และเป็นเหตุให้ผมมีความรู้สึกยินดีพอใจที่จะออกไปทำงานอะไรก็แล้วแต่ เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่สาธารณะข้างนอกตามความเชื่อของผมที่ว่า พื้นที่สาธารณะจำเป็นและสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราได้สูญเสียพื้นที่สาธารณะภายในจิตใจไปเยอะแล้ว พื้นที่ในจิตใจของเราถูกยึดครองด้วยความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปัจเจกบุคคลคือเป็นตัวตนของเราคนเดียวโดยที่ไม่แบ่งปันให้กับอะไรอื่นเลย

สิ่งเหล่านี้เราจะเรียนรู้ได้จากการไปรับฟังผู้อื่น ?

ใช่ ผมน้อมใจไปฟังสิ่งเหล่านี้ด้วยความเคารพ โดยไม่มีความคิดว่าตัวเองจะต้องทำอะไรมากไปกว่าการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้มีอยู่ในใจ ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการน้อมใจไปรับฟังความต้องการของผู้อื่นมันประเสริฐ มันยิ่งใหญ่ มันมีคุณค่าต่อตัวเราเองผู้น้อมไปฟังด้วย ได้สัมผัสความหมายซึ่งบริสุทธิ์สะอาด เป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับผมที่จะได้ทำสิ่งนี้ และสุดท้ายแล้วไม่ว่าเรื่องนี้มันจะจบลงอย่างไรหรือจะเกิดอะไรขึ้นตามมา แต่ที่แน่ๆ คือมันเกิดสิ่งดีขึ้นในใจผมและผู้อื่น แล้วถ้าเราสามารถขยายผลได้ คือบอกเล่าให้คนอื่นรู้ได้ว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่อจะรับใช้ผู้อื่น เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำให้ความฝันเขาเป็นจริงหรือทำความปรารถนาเขาให้ปรากฏชัด ชีวิตนี้ก็จะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า

ในที่สุด 'พื้นที่' เหล่านั้นมันจะกลายเป็นอะไรต่อไป

มันอาจเป็นทั้งพื้นที่ใช้สอยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกายคือ มันเป็นพื้นที่ที่เราสามารถไปใช้สอยทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ส่วนพื้นที่ใช้สอยทางด้านจิตวิญญาณคือ สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยว เกี่ยวเกาะอารมณ์ดีๆ ไว้ได้ ซึ่งยังไม่ได้สรุป ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมและอีกหลายคนเน้นย้ำมากว่าอย่าด่วนสรุปและคิดว่าข้อสรุปนี้มันจะเสร็จสมบูรณ์ จบลงตรงนี้ แต่มันเป็นข้อสรุปเพื่อที่จะเริ่มต้นให้เกิดสิ่งดีๆ อื่นต่อไปอีก ผมพยายามบอกว่าทุกๆ ความคิดที่เขาได้เสนอออกมามันจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะเกิดขึ้น แน่นอนความคิดเขาอาจจะไม่ได้ปรากฏเป็นรูปธรรมแต่มันจะเป็นส่วนหนึ่ง

ผมเข้าใจว่ากรณีการรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ไม่ใช่รับฟังเสร็จก็บอกจบแล้ว ต่อไปนี้หมดภาระ ไม่ใช่ แต่ให้ทุกคนที่แสดงความเห็นมีความรู้สึกร่วมว่าภาระที่จะดูแลเมืองของเขาไม่จบสิ้น ต้องมีอยู่ต่อไป จะทำอย่างไรให้คนทุกคนหรือเสียงทุกเสียงที่เขาพูดหรือเขียนออกมาให้มีความหมาย เหมือนกับเรามาให้พันธสัญญาเชิงสร้างสรรค์ต่อกัน

แล้วมันมีความหมายต่อชีวิตคนเรายังไง

ชีวิตเราไม่ว่าวันไหนหรือปีไหนก็เป็นชีวิตที่มีความหมายมาก ซึ่งชีวิตที่มีความหมายมากๆ มันไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราเหนือผู้อื่น แต่มันมีความหมายต่อทุกคน ต่อทุกสิ่งอย่าง มันเหมือนกับเวลาเราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วเห็นพระจันทร์ยิ้ม และบอกว่ามันมีความหมายดี ทุกคนมองกันใหญ่ ต่างบอกเพื่อนฝูงให้ออกมาดู ผมเข้าใจว่าดวงจันทร์มันมีอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา แต่คำถามคือเราเคยมีความรู้สึกดีๆ กับสิ่งที่มันมีอยู่โดยปกติไหม ถ้ายังไม่เคย ผมอยากให้ทุกคนถือโอกาสใช้เหตุปัจจัยจากภายนอกเล็กๆ น้อยๆ คือการเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าไปสู่ปีใหม่ เริ่มต้นปีใหม่นี้ขอให้มีความรู้สึกดีๆ กับชีวิตที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน แล้วเราจะพบเลยว่าชีวิตจะมีความหมายใหม่ เป็นชีวิตที่เบิกบานแจ่มใส เป็นชีวิตที่มีคุณค่า ที่ได้รู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่ ที่ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นแต่ความดีงามในชีวิตไม่เคยลดถอย จะทำให้ชีวิตของเรา ณ ปีนี้ ณ วันนี้มันมีความหมายอย่างไม่น่าเชื่อ



เรื่องและภาพ : อิสระ ตรีปัญญา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น