11:40

ความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ของคนทั่วโลก


ภาพหัวกะโหลกของมนุษย์ปักกิ่ง

เหตุการณ์เชิงประจักษ์เกี่ยวกับ จิต วิญญาณ ชีวิตหลังความตาย และการเกิดใหม่นั้น มีปรากฏให้ได้พบเห็นและได้สัมผัสรับรู้กันอยู่ทั่วโลกมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้ว โดยไม่จำกัดเชื้อชาติและศาสนา เพียงแต่เมื่อได้พบได้เห็นได้สัมผัสหรือได้รับรู้แล้ว แต่ละบุคคล ซึ่งมีความรู้มีความคิดและมีความเชื่อที่แตกต่างกัน จะตีความหมาย จะเข้าใจ จะอธิบาย หรือจะปฏิบัติต่อสิ่งที่ได้ประจักษ์ด้วยตัวเองนั้นอย่างไร ?
ซึ่งการตีความหมาย ความเข้าใจ การอธิบาย หรือการปฏิบัติต่อสิ่งที่ได้ประจักษ์เกี่ยวกับ จิต วิญญาณ ชีวิตหลังความตาย และการเกิดใหม่ที่แตกต่างกันนี้เอง ทำให้เกิดประเพณีทางความเชื่อต่างๆขึ้นมากมาย ของคนทั่วโลก เช่น
มีผู้สงสัยว่าทำไม มนุษย์ปักกิ่ง (Peking Man) ที่เคยมีชีวิตอยู่ในราว 750,000-200,000 ปี ก่อนหน้านี้ จึงต้องทำลายหัวกะโหลกของคนตาย บ้างก็สันนิษฐานว่า อาจทำลายเพื่อกินสมองของคนตาย หรือเพื่อให้วิญญาณออกจากร่าง ยังเป็นเรื่องที่ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้

  มีหลักฐานที่นักโบราณคดีขุดค้นพบเมื่อหลายพันปีที่แล้ว ว่ามี มนุษย์บางพวก มีการฝังศพในลักษณะคุดคู้ คล้ายกับเด็กทารกในครรภ์มารดา และวางตามแนวดวงอาทิตย์ขึ้นและตก คล้ายกับการเตรียมพร้อมที่จะเกิดใหม่ได้อีก


การฝังศพของมนุษย์โบราณบางพวก

 ความเชื่อของพวก อินเดียนแดงโบราณ (Red Indian) ในยุคระหว่าง 15,000 ถึง 25,000 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าพลังแห่งชีวิตที่ทำให้มนุษย์และสัตว์มีชีวิตอยู่ได้ จะแฝงอยู่ในโครงกระดูก และโครงกระดูกนี้เอง จะทำให้มนุษย์หรือสัตว์เกิดใหม่ได้อีก

 
ชนเผ่าอินเดียนแดงโบราณ
 
ชนเผ่าแอสแต็กโบราณ (Aztecs) ทางแม็กซิโกตอนกลาง เล่าสืบทอดต่อๆกันมาว่า กองกระดูกคนตายที่ชโลมด้วยเลือดจากอวัยวะเพศของ เทพเควทซัลโคตส์(Quetzalcoatl) จะทำให้เกิดมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมา


พิธีกรรมของชนเผ่าแอสแต็กโบราณ


ภาพปฏิทินของชาวแอสแต็กโบราณ
 
ชนเผ่ามายาโบราณ (Maya) ในกัวเตมาลา เชื่อว่า กระดูกของมนุษย์บรรจุสิ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของชีวิตมนุษย์ไว้ ส่วนเนื้อหนังของมนุษย์ ถือว่ามีลักษณะคล้ายกับเนื้อของผลไม้ ซึ่งในที่สุดก็จะเน่าเปื่อยเหลือแต่เมล็ด กระดูกของคนเราก็เช่นเดียวกันกับเมล็ดพันธุ์พืช ที่สามารถนำไปปลูกในแหล่งที่อุดมสมบูรณ์แห่งใหม่ได้


ภาพตัวเลขของชาวมายา

ชาวอียิปต์โบราณ (Ancient Egypt)  เชื่อว่า กษัตริย์ฟาโรห์ คือ เทพโอซิริส (Osiris) กลับชาติมาเกิดใหม่ สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย
ชาวกรีกโบราณ (Ancient Greece) เชื่อว่า เทพซีอุสกลับชาติมาเกิดใหม่ เป็นทั้งนักรบและวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย
ความเชื่อโบราณของชนเผ่าต่างๆหลายชนเผ่า ในอิยิปต์ บริเตน อินเดีย กรีก และ ละตินอเมริกา เชื่อว่า กษัตริย์ วีรบุรุษ หรือวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา คือเทพเจ้าหรือเทพีกลับชาติมาเกิด
ชนพื้นเมืองเผ่าโยรูบา (Yoruba) ทางแอฟริกาตะวันตก เชื่อว่า เด็กทารกที่เกิดหลังจาก ปู่ ย่า ตา ยาย คนใดคนหนึ่งเสียชีวิตไม่นานนัก เขามักจะเรียกว่า “บาบาตุนเด” หมายความว่า บิดากลับชาติมาเกิดใหม่ หรือ “เยตุนเด” มารดากลับชาติมาเกิดใหม่
ชนเผ่าลีโอ ทางแอฟริกาใต้ มีจุดมุ่งหมายในการค้นหาบุคคลที่กลับชาติมาเกิดใหม่ โดยมีพิธีกรรมประหลาด คือ หากพบเด็กที่เกิดใหม่มีลักษณะตรงกับบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาก็จะตั้งชื่อให้ตามชื่อของบุคคลที่ตายไปแล้ว
ชนเผ่ายูคากีร์ (Yukaghirในไซบีเรียตะวันออก มีพิธีกรรมในการค้นหาบุคคลที่กลับชาติมาเกิดใหม่ โดยมีหมอผีถือกระดูกคนที่ตายแล้วไปหาเด็กทารกที่เกิดใหม่ พร้อมทั้งเรียกชื่อคนที่ตายแล้วไปด้วย หากพบว่าเด็กทารกคนใดยิ้มเป็นคนแรก ก็ถือว่าเด็กคนนั้นคือคนที่ตายไปแล้วกลับชาติมาเกิด
ชนพื้นเมืองหลายเผ่าในแถบอเมริกาเหนือ (North American) มีประเพณีการมอบเครื่องรางที่ทำด้วยเส้นผมของญาติคนตายให้กับหญิงมีครรภ์ โดยหวังว่าจะให้คนตายกลับมาเกิดกับหญิงคนนั้น
ชนพื้นเมืองบนเกาะมาร์เคซัส (Marquesas Islands)  ซึ่งเป็นหมู่เกาะทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก เชื่อว่า วิญญาณของ ปู่ ย่า ตา ยาย จะถ่ายทอดไปยังร่างของหลานที่จะเกิดใหม่ โดยนำหญิงที่เป็นญาติซึ่งกำลังตั้งครรภ์ ไปนอนใต้โลงศพของ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิต
ชนพื้นเมืองอินเดียนแดงเผ่าทลินกิตบางกลุ่ม (Tlingit) ในรัฐอลาสก้า ประเทศอเมริกา มีพิธีกรรมประหลาด คือเวลาฝังคนตาย จะให้ญาติผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เข้าไปนั่งใกล้หลุมศพแล้วจับมือคนตายข้างใดข้างหนึ่งไปแตะที่หน้าอกของเธอ พร้อมทั้งอธิษฐานขอร้องให้วิญญาณคนตาย กลับชาติมาเกิดใหม่ในครรภ์ของเธอ ทำอย่างนี้ซ้ำๆกันจนครบ 8 ครั้ง แล้วใช้มือขีดเส้นบนพื้นดินนับจากปากหลุมฝังศพออกไปประมาณเจ็ดฟุต แล้วให้เธอนั่งปัสสาวะตรงจุดสิ้นสุดเส้นที่ขีดนั้น จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอ้อนวอนให้วิญญาณคนตายมาเกิดใหม่ในครรภ์ของเธอ

ชนพื้นเมืองอินเดียนแดงเผ่าทลินกิต

บาทหลวง ไอ.อี.พี. เวเนียมีนอฟ (I.E.P Veniaminov) ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในอลาสก้า ได้บันทึกไว้ว่า ชาวอินเดียนแดงเผ่าทลินกิตหลายกลุ่ม มักจะสังเกตเครื่องหมายที่เป็นรอยตำหนิบนผิวหนังของเด็กทารกที่เกิดใหม่ หากมีร่องรอยคล้ายกับบุคคลใดที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็เชื่อกันว่าบุคคลนั้นกลับชาติมาเกิด และจะตั้งชื่อเด็กที่เกิดใหม่นั้น ตามชื่อของบุคคลที่ที่เสียชีวิตไปแล้วคนนั้น
ชนเผ่าเอสกิโมบางกลุ่ม (Eskimo)  มีวิธีการขอเกิดใหม่ที่แปลกประหลาด คือคนที่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิตในไม่ช้า จะไปหาเพื่อนบ้านหรือญาติสนิท ที่อยู่เป็นครอบครัวสามีภรรยา แล้วกล่าวฝากฝังตัวเอง โดยขออนุญาตมาเกิดด้วย สามีภรรยาก็จะรอความเห็นของผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว ว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากมีความเห็นชอบ สามีภรรยาคู่นั้นก็จะกล่าวตอบว่า มีความยินดีที่จะให้มาเกิดเป็นลูกคนแรกนับจากนี้ด้วยได้ จากนั้นคนที่ขอก็จะรอคอยวาระสิ้นใจของตนด้วยความอดทนและมีสติ
ชนพื้นเมืองทางภาคเหนือและภาคกลางของออสเตรเลีย (Australia) เชื่อว่า วิญญาณคนตายจะรอคอยวาระที่จะกลับมาเกิดใหม่เสมอ เช่น ชนเผ่าอะบอริจิ้น(Aborigines) เชื่อว่า คนเราทุกคนจะกลับชาติมาเกิดใหม่เมื่อตายแล้ว วิญญาณของคนตายจะรอคอยผู้หญิงคนใดคนหนึ่งเดินผ่านมาใกล้ๆ แล้วจะเคลื่อนเข้าไปในครรภ์ของเธอทันที ส่วนหญิงคนใดที่เดินผ่านมา แล้วเห็นวิญญาณคนตาย แต่เธอไม่ต้องการที่จะตั้งครรภ์มีบุตรอีก เธอก็จะทำทีเป็นคนชรา เดินกระย่องกระแย่ง และกล่าวว่า“อย่ามาหาฉันเลย ฉันเป็นหญิงแก่ที่สังขารไม่ไหวแล้ว” ชนพื้นเมืองเผ่าอะบอริจิ้น มีสัญลักษณ์การเกิดใหม่เป็นรูปงูยักษ์ขดไปมา โดยถือว่าเป็นการเชื่อมกันระหว่างฟ้ากับโลก เส้นทางที่คดไปคดมา เป็นทางผ่านที่วิญญาณจะเข้าไปสู่ครรภ์ของผู้หญิง ซึ่งจะนำมาเกิดใหม่ในโลก

ภาพงูสายรุ้งของชนเผ่า อะบอริจิ้น


ชนพื้นเมืองเผ่าอะบอริจิ้นบางกลุ่มในออสเตรเลียเชื่อว่า
วิญญาณของคนเราจะมุ่งไปสู่แดนมรณะ
หลังจากต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆที่คอยขัดขวาง ดังที่ปรากฏอยู่ในภาพนี้ 
 
ชาวพื้นเมืองทางธิเบตตอนเหนือ (Tibet) เชื่อว่า เทพีกรีนดอลกลับชาติมาเกิดเป็นมเหสีของกษัตริย์พระองค์แรกของธิเบต เพื่อกลับมาโปรดมนุษย์
ชนพื้นเมืองชาวอินเดียตอนเหนือ (North Indiaจะทำพิธีฝังศพเด็กที่ตายไว้ใต้ธรณีประตูหรือทางเข้าบ้านตัวเอง เพื่อหวังว่าวิญญาณของเด็กจะกลับมาเกิดใหม่กับตนอีกครั้ง
ชาวอินเดียนแดงเผ่าโฮบิโนอริโซนา มีพิธีประหลาด โดยทำทางเดินเล็กๆ จากหลุมศพของเด็กที่เสียชีวิตตรงไปยังบ้าน ในทำนองเดียวกัน อินเดียนแดงเผ่าฮูรอน จะฝังเด็กไว้ข้างทางที่ตัดตรงไปยังบ้าน เพื่อหวังว่าเมื่อมีผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์คนใดเดินผ่านมา วิญญาณของเด็กจะได้ไปเข้าท้องของหญิงคนนั้น เพื่อกลับชาติมาเกิดใหม่
ชนพื้นเมืองบางเผ่าในแถบป่าลึกในแอฟริกา อเมริกา และในอินเดีย มีพิธีจัดการกับงานศพเด็กที่น่าสพรึงกลัวมาก โดยจะทำลายนิ้วเท้า นิ้วมือ ขา ใบหน้า หรือตัดเอาจมูกและใบหูออก บางครั้งผู้เป็นแม่จะกลืนเอาชิ้นส่วนใบหูของคนตายที่สับละเอียดเข้าไป เพื่อจะให้วิญญาณของเด็กมาเกิดกับตนอีก
คนป่าพื้นเมืองในเอสโทเนียและไนจีเรีย มักจะฝังเด็กหน้าตาชั่วร้าย โดยคว่ำหน้าศพลงกับพื้นหลุมศพ เพื่อไม่ให้วิญญาณของเด็กมองเห็นทางที่จะกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
ชาวอินเดียนแดงเผ่าเบลลาคูลา (Bella Kula Indians) ในแถบบริติชโคลัมเบีย เชื่อว่า ถ้าเด็กทารกที่เกิดมามีฟันขึ้นตั้งแต่แรกเกิด  แสดงว่าเป็นบรรพบุรุษกลับชาติมาเกิด
ชาวอินคา (Incaในเปรู เชื่อว่า ทุกคนที่เกิดขึ้นมาบนโลก เมื่อตายไปแล้วก็จะสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อีก


สัญลักษณ์เกี่ยวกับการเกิดใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งอ่านว่า "รินเน"
คำว่า "ริน" (คำบน) หมายถึง วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ส่วนคำว่า "เน" (คำล่าง) หมายถึง การหมุนเวียนกลับไปกลับมา
 
ลื้อยนับร้อยชาติ
สตรีไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี จะเกิดในครรภ์ของสุนัขป่า
นอกจากนั้น ชาวฮินดูโบราณยังเชื่อว่า มนุษย์เราเกิดมาในลักษณะรูปแบบต่างๆ ทั้งพืช สัตว์ มนุษย์ และแร่ธาตุต่างๆกว่า 8,400,000 ชนิด ผลแห่งกรรมที่ต่อเนื่องกันมาจากอดีต จะมีผลต่อการเกิดใหม่ของแต่ละบุคคลเป็นอย่างยิ่ง
ในสมัย อียิปต์โบราณ (Ancient Egypt) เวลาฝังคนตายเขามักจะจารึกอักขระที่ถือว่าเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ จากคัมภีร์มรณะลงบนผ้า ภาชนะ หรือโลงศพ ฝังพร้อมกับคนตายด้วย ซึ่งเชื่อว่ามีอำนาจเปลี่ยนแปลงไปเกิดในชาติใหม่ที่ดีกว่า ชาวอียิปต์บางกลุ่มยังเชื่อว่า ชีวิตมนุษย์จะเกิดใหม่จากสัตว์ชนิดหนึ่งตลอดชั่วระยะเวลาสามพันปี จนกระทั่งกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
ดร.ฮาร์ทลีย์ บี. อเล็กซานเดอร์ (Dr.Hartley B. Alexander)  ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ  “นอร์ธ อเมริกัน มีทโธโลยี ออฟ อาร์กติก” โดยได้เล่าถึงวิธีที่วิญญาณต่างๆกลับมาเกิดใหม่เป็นทั้งมนุษย์และสัตว์
ประเพณีประหลาดของ คนป่าในแซมเบซี ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ตายแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์ ดังนั้นแต่ละคนจะต้องเลือกที่จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่ตนต้องการได้ โดยต้องทำพิธีกลืนเนื้อสัตว์ที่เน่าเปื่อยจากสัตว์ที่เลือกไว้
 
ภาพสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ตามความเชื่อต่างๆ


ดวงจันทร์ - มีข้างขึ้น ข้างแรม คนบางกลุ่มถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดและการตาย พวกที่เชื่อเช่นนี้ได้แก่
ชนเผ่าอินเดียนแดงในเขตซานจวนคาพิสตราโน่ ในแคริฟอร์เนีย และชาวคองโกในอัฟริกา เป็นต้น 



ดวงอาทิตย์ - เชื่อกันว่าในแต่ละวัน มันจะโพล่ขึ้นมาจากครรภ์ของพระแม่ธรณี และหายลับไป จากนั้นก็โผล่ขึ้นมาใหม่


ดอกบัวขาว - ตามความเชื่อของชาวตะวันออก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์การเกิดใหม่ของวิญญาณ
 

กงล้อ หรือ วงกลม - ตามความเชื่อของศาสนาทางตะวันออก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเวียนว่ายตายเกิด


นกยูง - ตามดินแดนต่างๆในทางตะวันออก ถือว่านกยูงเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ เช่น บางกลุ่มของ ชาวฮินดู ชาวพุทธ และชาวมุสลิม
 

นกฟินิกซ์ - คนโบราณส่วนใหญ่ถือว่า สัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่คือ นกฟินิกซ์ ซึ่งเป็นนกในนวนิยาย
กล่าวกันว่ามันอาศัยอยู่ในทะเลทราย และมีอายุยืน 500-600 ปี เมื่อครบกำหนดอายุ มันก็จะเผาตัวเองจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
จากนั้นมันก็จะก่อตัวขึ้นมาเป็นนกตัวใหม่ที่มีอายุยืนนาน และเวียนตายเวียนเกิดในลักษณะเช่นนี้ตลอดไป
อมตนิยายเกี่ยวกับนกฟินิกซ์ เป็นที่รู้จักกันดีตามดินแดนต่างๆ นับตั้งแต่ อินเดีย ไปจนถึง เปอร์เซีย
จากไอร์แลน ถึง อียิปต์ สำหรับญี่ปุ่น เรียกชื่อนกในนวนิยายนี้ว่า "คิริน" ส่วนชาวตุรกี เรียกว่า "เคอร์คีส"
 

โพลตินุส กล่าวว่า บรรดาชนชั้นปกครองทรราชทั้งหลาย เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดเป็นนกอินทรีย์

ชาวอินเดียนแดงเผ่าโมเฮฟ (MoHave) เชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วจะเกิดใหม่เป็นสัตว์ตระกูลต่างๆหลายชาติ แล้วในที่สุดวิญญาณก็จะหายไปจากโลก
มีเรื่องเล่าถึงชะตากรรมของ กษัตริย์เนบูเชดเนซซาร์ (Nebuchadnezzar ของพวกยิวว่า เมื่อกรรมเก่าของพระองค์มาถึงก็มีพฤติกรรมแสดงออกมาเยี่ยงสัตว์ คือ ชอบแทะเล็มหญ้าราวกับเป็นวัว พระวรกายของพระองค์ค่อยๆเปลี่ยนไปจนมีขนแบบขนนกอินทรีเกิดขึ้นเต็มไปหมด
กล่าวกันว่า พีธาคอรัส (Pythagorus) นักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวกรีก สามารถจำเสียงเพื่อนเก่าในอดีตที่เสียชีวิตไปแล้ว ได้จากเสียงของสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังใกล้ตาย
เพลงพื้นเมืองของ ชาวอังกฤษและชาวสก็อต ในสมัยแรกๆ มักจะกล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณของผู้หญิงและผู้ชาย ที่กลับชาติไปเกิดเป็นสัตว์และพืชชนิดต่างๆ เช่น นกนางนวล เป็นต้น
นักค้นคว้าชาวอังกฤษบางกลุ่ม ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ภาพที่เราเห็นชายหรือหญิงเดินจูงสุนัขไปตามถนนนั้น แท้จริงแล้วบางทีสุนัขที่พวกเขาจูงมานั้นอาจเป็นวิญญาณของบิดามารดาหรือญาติมิตรของตนเองสืบชาติมาเกิดใหม่ นอกจากนี้ สตรีที่ขี่ม้าตัวโปรด บางทีม้าตัวโปรดอาจเป็นวิญญาณของบิดามารดาของเธอในอดีตกลับชาติมาเกิด ก็เป็นได้
เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1975 ชาวบ้านแห่งหนึ่งในเขตภาคกลางของ ศรีลังกา ปฏิเสธที่จะไล่แตนที่เกาะอยู่ตามบริเวณรอบๆปราสาทหิน เหตุผลที่พวกเขาอ้างก็คือ เชื่อกันว่าพวกแตนเหล่านี้เป็นสัตว์ที่เกิดจากวิญญาณทหารของกษัตริย์กัสสปะที่ 1 ซึ่งเฝ้ายามอยู่รอบๆปราสาทนี้กลับชาติมาเกิด
นักบวชลัทธิเชนของอินเดีย ได้สอนว่า คนเราทุกคนผ่านชีวิตในโลกมาแล้วหลายล้านแบบ เช่น เป็นทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ พืช แมลง สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ รวมทั้งเป็นมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดใหม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา
มีเรื่องเล่ากันว่า ชาวป่าในแอฟริกาและอเมริกาใต้ เชื่อว่า ศัตรูของพวกเขาจะกลับชาติมาเกิดเป็นร่างของสัตว์ป่า
ชาวป่าในแถบละตินอเมริกา กลัวว่าตนจะกลับไปเกิดเป็นเสือลายหรือเสือดาวอีก
ชาวเอสกิโม(Eskimoหลายกลุ่มในแถบช่องแคบแบริ่ง เชื่อว่า หลังจากพวกแมวน้ำ ตัววอลรัส และ วาฬ ตายแล้ววิญญาณของพวกมันยังแฝงอยู่ในส่วนที่เป็นกระเพาะของปลา ดังนั้นพวกเขาจึงมีวิธีเร่งให้สัตว์ดังกล่าวไปเกิดใหม่ โดยนายพรานชาวเอสกิโม มักจะเก็บกระเพาะปลาที่ล่ามาได้เอาไว้ หลังจากทำพิธีเต้นรำบูชายัญและทำพิธีเซ่นด้วยอาหารแล้ว ก็จะนำเอากระเพาะปลาที่เก็บไว้ เอาไปไว้นอกบ้านแล้วนำเอาไปปล่อยทิ้งลงน้ำ
โยคี ศรี สวามี ศิวะนันทะ (Swami Sivanandaแห่งเทือกเขาหิมาลัย(1887-1963) กล่าวว่าประสบการณ์ของวิญญาณในชาติปัจจุบัน จะสะท้อนให้เห็นชีวิตในอดีตชาติของคนและสัตว์คล้ายกัน โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยง มักจะกลับชาติจากชีวิตมนุษย์ในชาติก่อน เช่น สุนัข กระต่าย เป็ด ไก่ ลิง ชะนี ซึ่งเข้ากับคนได้ดี สัตว์เลี้ยงบางชนิดสามารถแสดงออกถึงความรัก ความซื่อสัตย์ หรือความจงรักภักดีและมีความฉลาดเด่นชัดทีเดียว เช่น สุนัข เป็นต้น
 ตำนานของพวก ไอริช (Irish) กล่าวไว้ว่า กว่านักรบ ตวน แม็ก ไครลิลล์ จะกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ต้องใช้กรรม โดยเกิดเป็นสิ่งต่างๆอยู่นาน 320 ปี คือ เกิดเป็นลิง 100 ปี เกิดเป็นกวางนาน 80 ปี เกิดเป็นหมูป่าตัวผู้ 20 ปี เกิดเป็นนกแร้ง 100 ปี และเกิดเป็นปลานานถึง 20 ปี

ความคิดเห็นของนักปราชญ์โบราณ

ในสมัยกรีกโบราณ  นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงของโลกชาวกรีก อย่าง ไพทากอรัส หรือ พีธาคอรัส (Pythagorus) โซเครติส(Socrates) และ เพลโต (Plato) จัดว่าเป็นบุคคลสำคัญชั้นครูที่นำเรื่องราวความคิดเกี่ยวกับการเกิดใหม่และการระลึกชาติได้ ถ่ายทอดและเผยแพร่ให้กับบรรดาศิษย์และสาวกทั้งหลาย


พีธาคอรัส

 ไพทากอรัส หรือ พีธาคอรัส (Pythagorus) นักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวกรีก ที่เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 582-507 ปีก่อน คริสต์ศักราช  ผู้คิดค้นสูตรคูณ หรือตารางปีทาโกเรียน (Pythagorean Table) และทฤษฎีบทในเรขาคณิตที่ว่า “ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใดๆ กำลังสองของความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก เท่ากับผลบวกของกำลังสองของความยาวของด้านประกอบมุมฉาก” หรือ a2+b2 = c2 



ซึ่งทฤษฎีทั้งสองนี้เป็นที่ยอมรับ และใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ พีธาคอรัส เคยกล่าวกับหลายๆคนว่า เขาสามารถระลึกอดีตชาติได้ มีเรื่องเล่ากันว่า มีอยู่วันวันหนึ่ง พีธาคอรัส ได้ไปพบชายชราคนหนึ่งกำลังตีลูกสุนัขอยู่ ทันทีที่เขาได้ยินเสียงสุนัขร้อง เขาก็ตะโกนลั่นว่า “อย่า อย่าตีมัน มันเป็นวิญญาณของเพื่อนข้ากลับชาติมาเกิด ข้าระลึกถึงเพื่อนข้าได้ชัดเจนทีเดียว”  ในช่วงบั้นปลายชีวิต พีธาคอรัส เคยกล่าวไว้ว่า “ข้ามั่นใจเหลือเกินว่า สิ่งทั้งหลายจะกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิต ที่เกิดใหม่ได้อีก หลังจากตายไปแล้ว” 


เพลโต

เพลโต (Plato) นักปรัชญาชาวกรีกโบราณ ที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดของชาวตะวันตกคนหนึ่ง ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในช่วง 347 - 427 ปีก่อน คริสต์ศักราช เขาเป็นลูกศิษย์ของ โซเครติส (Socrates) เป็นอาจารย์ของ อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักเขียน และเป็นผู้ก่อตั้ง อาคาเดมี ซึ่งเป็นสำนักวิชาในกรุง เอเธนส์ ผลงานที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์ของ เพลโต คือ กฎที่เกี่ยวกับแสงที่ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อแสงมากระทบวัตถุ มุมแสงตกกระทบจะเท่ากับมุมแสงสะท้อน เป็นกฎที่ถูกต้องและยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบัน แนวความคิดและผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเขาก็มีอิทธิพลต่อนักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ใน ปัจจุบัน เพลโต เคยนำเสนอผลงานการค้นคว้าเกี่ยวกับการระลึกชาติอย่างละเอียดไว้ ซึ่งสรุปความได้ว่า วิญญาณบริสุทธิ์ตกมาจากโลกแห่งสัจธรรมอันสูงส่งลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกปัจจุบัน และในบรรดามนุษย์ด้วยกัน จะมีกลุ่มบุคคลที่ฉลาด สนใจใฝ่หาธรรมที่สูงกว่า เมื่อศึกษาจนสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ก็จะกลับไปสู่โลกอันอมตะ หากวิญญาณของบุคคลใดไม่บริสุทธิ์ มุ่งแต่กิเลสทางรูปธรรม ก็จะลงมาเกิดเป็นสัตว์ เพลโตยังเชื่อว่า บุคคลใดที่หมกมุ่นกับการกินและดื่มอย่างตะกละด้วยความโลภ ในชาติหน้าจะเกิดเป็นลา บุคคลที่ชอบใช้ความรุนแรงจะเกิดเป็นสุนัขป่าหรือเหยี่ยว ผู้ไม่ปฏิบัติตนตามแบบแผนสังคม ราวกับคนตาบอด ชาติหน้าอาจจะเกิดเป็นหมีหรือมด หลังจากนั้น หากหมั่นปฏิบัติกรรมดี บางทีวิญญาณเหล่านี้อาจไปเกิดเป็นมนุษย์อีก และมีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรม ใฝ่หาทางหลุดพ้นจากบ่วงกรรมต่อไป
นอกจากนั้น ศาสตราจารย์ ดูคัสเซ (Curt John Ducasse)  กล่าวว่า เพลโตเคยมีแนวคิดเกี่ยวกับการระลึกชาติว่า วิญญาณของบุคคลที่สามารถค้นพบแนวทางปฏิบัติตนจนบรรลุสัจธรรมขั้นสูงสุด อาจกลับชาติมาเกิดเป็นกษัตริย์ นักปราชญ์ จิตรกร นักดนตรี จินตกวี วิญญาณบุคคลที่บรรลุสัจธรรมชั้นที่สอง ก็จะเกิดมาเป็นนักรบหรือขุนนาง วิญญาณของบุคคลที่บรรลุสัจธรรมชั้นที่สาม ก็จะกลับชาติมาเกิดเป็นนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ พ่อค้าคหบดี วิญญาณของบุคคลที่บรรลุสัจธรรมในชั้นที่สี่ จะกลับชาติมาเกิดเป็นแพทย์ ส่วนวิญญาณของบุคคลที่บรรลุสัจธรรมในขั้นที่เก้าจะกลับชาติมาเกิดเป็นชนชั้นนักปกครอง ฯลฯ
นักค้นคว้าบางคนกล่าวว่า บางทีเพลโตและนักปราชญ์คนอื่นๆ อาจได้รับความรู้เกี่ยวกับการระลึกชาติจากศาสนาลึกลับ เช่น ศาสนาออร์เฟอุส หรือจากอินเดียก็เป็นได้

ความเชื่อเกี่ยวกับการระลึกชาติ ของศาสนายูดาห์(ยิว) คริสต์ และอิสลาม

เรื่องราวเกี่ยวกับการระลึกชาติได้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในกลุ่มของผู้นับถือ ศาสนายูดาห์(ยิว,ฮีบรู) และ ศาสนาคริสต์ในช่วงสมัยแรกๆทางประวัติศาสตร์ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอดีตชาติและอนาคตชาติ ทั่วไปใน แคว้นคาบาลา และมีหลักฐานปรากฏอยู่ในคัมภีร์ที่นักปราชญ์ชาวยิวได้เก็บรักษาไว้ ตอนหนึ่งในคัมภีร์โซฮาร์กล่าวไว้ว่า
“วิญญาณทั้งหลาย จะกลับเข้าสู่ร่างใหม่ได้อีก หากพวกเขารู้จักพัฒนาพื้นฐานคุณธรรมของตนเอง ในขณะที่มีชีวิตอยู่ให้สมบูรณ์ ในทุกๆด้าน หากไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิตหนึ่ง(ชาติหนึ่ง) พวกเขาก็ต้องเริ่มต้นใหม่ในชาติที่สาม หรือชาติที่สี่ต่อไป จนกว่าจะบรรลุผล ที่จะทำให้พวกเขาเหมาะสม และพร้อมที่จะเข้าไปถึงพระผู้เป็นเจ้า”
จากแนวคิดดังกล่าวนี้ พวกชาวยิวฮาซิดิก ก็มีความเชื่อคล้ายๆกันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 โอริเจน นักค้นคว้าศาสนาหนึ่งในบิดาแห่งการรวบรวมธรรมของศาสนาคริสต์ในยุคแรกๆ ได้รวบรวมเรื่องต่างๆไว้เป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งได้สำเร็จ ตอนหนึ่งในคัมภีร์เล่มนี้กล่าวไว้ว่า “วิญญาณที่ล่องลอยจะกลับมาสู่ร่างเป็นมนุษย์เป็นอันดับแรก แล้วผ่านเข้าสู่สังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา และความทุกข์ยากทั้งปวง หลังจากผ่านชีวิตมนุษย์แล้ว วิญญาณทั้งหลายก็จะเปลี่ยนเข้าไปสู่ร่างของสัตว์ จากนั้นก็จะจมลงสู่ชีวิตระดับต่ำ เช่นพวก พืช หรือแร่ธาตุ จากสภาวะนี้ วิญญาณก็จะพัฒนาการเกิดใหม่ขึ้นมาอีกตามลำดับขั้น จนถึงขั้นสูงสุดที่ถือว่าเป็นสวรรค์”
มีข้อความใน คัมภีร์ไบเบิล หลายตอน ที่ชี้ให้เห็นว่า พระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์ ตระหนักถึงการเกิดใหม่ มีอยู่ครั้งหนึ่งสาวกทั้งหลายได้ถามพระองค์เกี่ยวกับคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่าว่า “อีเลียส จะกลับมาเกิดในโลกนี้อีกจริงหรือ ?” พระเยซูได้ตรัสตอบพวกเขาว่า “อีเลียสจะลงมาเกิดบนโลก และจะฟื้นฟูทุกอย่าง แต่ข้าอยากบอกพวกเจ้าให้รู้ไว้ว่า บัดนี้อีเลียสได้มาเกิดแล้ว”  ซึ่งต่อมาสาวกทั้งหลายก็ทราบว่า กษัตริย์เฮร็อด คือศาสดาอีเลียสที่กลับชาติมาเกิดนั่นเอง
ตอนหนึ่งใน คัมภีร์อัลกุรอ่าน ของ ศาสนาอิสลาม กล่าวว่า “เมื่อท่านตาย มันจะนำท่านกลับมามีชีวิตอีก จากนั้นมันจะทำให้ท่านถึงแก่ความตาย แล้วจะนำท่านกลับมามีชีวิตอีก และในที่สุด ท่านก็จะถูกนำไปพร้อมกับตัวของมันเอง”  ในบรรดานิกายต่างๆที่มีชื่อเสียงของศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะนิกายซูฟี เชื่อว่า คนที่ตายแล้วไม่มีการดับสูญ ยังมีวิญญาณอันอมตะผ่านร่างต่างๆ ต่อเนื่องกันไปโดยตลอด จาลาลู ดี-ดิน มีจินตกวีที่มีชื่อเสียงแห่งนิกายซูฟี ได้ประพันธ์ข้อความสั้นๆไว้เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดว่า
“ข้าตายขณะเป็นแร่ธาตุ แล้วได้เกิดเป็นพืช
ข้าตายขณะเป็นพืช แล้วได้เกิดเป็นสัตว์
ข้าตายขณะเป็นสัตว์ แล้วข้าได้เกิดเป็นมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ ข้าจะไปกลัวความตายทำไมกัน”

ความเชื่อของชาวฮินดู ในอินเดีย

ความเชื่อในเรื่องราวเกี่ยวกับการระลึกชาติของ ชาวฮินดู ในประเทศอินเดีย คงเริ่มขึ้นราวๆศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เมื่อมีการยึดมั่นหรือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม ประเพณีแบบเดิมอย่างเคร่งครัด พวกเขาเชื่อในเรื่องกรรมของมนุษย์ โดยถือว่ามนุษย์ที่เกิดมา อาจถูกลงโทษหรือได้รับผลตอบแทนที่ดีงาม เนื่องจากผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน ชาวฮินดูยังเชื่ออีกว่า วิญญาณของคนเราอาจเพิ่มความบริสุทธิ์ ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งไปถึงโลกของพระผู้เป็นเจ้าได้

ศาสนาพราหม(ฮินดู) เชื่อว่า  มนุษย์ตายแล้วเกิดใหม่โดยการเวียนว่ายตายเกิด
เป็นได้ทั้ง มนุษย์ สัตว์ พืช และแร่ธาตุต่างๆ รวม 8,4000,000 รูปแบบ 
 
คัมภีร์เวทต่างๆของอินเดีย ต่างยืนยันว่า วิญญาณของมนุษย์มีจริง ลักษณะของมันเปลี่ยนรูปไปได้ถึง 8,4000,000 รูปแบบ ปรากฏอยู่ในร่างของสิ่งมีชีวิตตระกูลต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยอัตโนมัติ จากรูปแบบชั้นต่ำไปยังชั้นสูงกว่า จนกระทั่งกลายเป็นร่างของมนุษย์ได้อีก
จากข้อมูลเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า ศาสนาที่สำคัญทางตะวันตกและตะวันออกทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนายูดาห์(ยิว,ฮีบรู) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม จะมีคำสอนที่กล่าวถึงเรื่องของการเกิดใหม่ อยู่ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีบางฝ่ายปฏิเสธ ไม่ยอมรับเรื่องนี้อย่างเป็นทางการก็ตาม

เรื่องของการกลับชาติมาเกิดใหม่ ในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

เรื่องของการกลับชาติมาเกิดใหม่ในสมัยยุคกลางนั้น ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ดังจะเห็นได้ว่าในปี ค.ศ.553 กษัตริย์จัสติเนี่ยน (Justinian) แห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก ได้สั่งยกเลิกการสอนเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ และการกลับชาติมาเกิดใหม่ ในศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก และปรากฏว่ามีเอกสารเกี่ยวกับบทความทางศาสนาเป็นจำนวนมากถูกทำลาย ในบรรดาบทความทั้งหลายที่ถูกเผานั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การระลึกชาติได้แทบทั้งสิ้น

กษัตริย์จัสติเนี่ยน(กลาง) ทรงประณามและต่อต้านแนวความคิดเกี่ยวกับการระลึกชาติ 

ในช่วงสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ผู้คนทั่วไปเริ่มสนใจเกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาติอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผู้นำในการเผยแพร่คือจิออร์ดาโน บรูโน จินตกวีและนักปรัชญาชั้นนำ เขาเป็นผู้ที่มีบทบาทในการสอนเรื่องการระลึกชาติแก่คนทั่วไป แต่เป็นที่น่าเสียดาย ในที่สุดเขาก็ถูกสั่งประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น บรูโนได้กล่าวถึงวิญญาณว่า “วิญญาณของมนุษย์อยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยผ่านจากร่างหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่งต่อเนื่องกันไปโดยตลอด”

ยุคพัฒนาความรู้เกี่ยวกับศิลปะวิทยาการ หลังศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา

ในยุคนี้ บรรดานักปราชญ์นักค้นคว้าต่างได้รับอิสระในการค้นคว้าวิทยาการต่างๆทั้งทางโลกและทางศาสนามากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น ความรู้เรื่องการระลึกชาติจึงได้รับการพัฒนาค้นคว้าและได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่น
วอลแตร์ (Voltaire)  นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เขียนข้อความตอนหนึ่งเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดใหม่ไว้ว่า “ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่คนเราเกิดใหม่ได้หลายครั้ง”
เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ได้บันทึกไว้ว่า “การค้นพบตัวเองซึ่งมีชีวิตอยู่ในโลก ผมเชื่อว่าผมคงจะเกิดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างไรก็ตาม”
ในปี 2357(1814) จอห์น อดัมส์ (John Adams) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้อ่านหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับศาสนาฮินดู และได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการระลึกชาติไว้ในหนังสือชื่อ The sage of Monticello ตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “วิญญาณทั้งหลาย อาจหมุนเวียนเปลี่ยนไปยังร่างต่างๆ จากมนุษย์ไปสู่ร่างสัตว์ต่างๆ แทบทุกชนิด ทั้งสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ป่า แล้วกลับไปสู่ร่างมนุษย์อีก หากคนเราประพฤติดี อาจทำให้วิญญาณของเราประสบกับความสุขบนสวรรค์”
ในยุโรปเชื่อกันว่า นโปเลียน คือ ชาร์เลอเมน อดีตเจ้าครองนครฝรั่งเศสในสมัยโบราณ(ช่วงปี คศ.742-814) กลับชาติมาเกิด
โยฮันน์ วูลฟ์กัง ฟอน เกอเต (Johann Wolfgang von Goethe) จินตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเยอรมันนีในอดีต ยอมรับและเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาติ เขาเคยกล่าวว่า “คนที่สามารถระลึกชาติในอดีตได้เท่านั้น ถึงจะเชื่อถือในเรื่องนี้ ใครจะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว ผมแน่ใจว่าผมเคยอยู่ที่นี่เมื่อสมัยพันปีมาก่อน ซึ่งผมก็หวังที่กลับไปสู่ยุคนั้นอีก” 



พุทธคัมภีร์พระสูตรฉบับหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุด(วัชรสูตร)ของจีน ที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการระลึกชาติไว้มากที่สุด
พิมพ์เมื่อ 868 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยของพระเจ้าหวั่งชี ผู้ค้นพบคือ เซอร์ ออเรียล สไตน์ ชาวอังกฤษ
ซึ่งค้นพบที่ถ้ำพระพุทธรูปที่เมืองตันฮวง ในประเทศจีน ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ หอสมุดบริติซมิวเซี่ยม ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
คัมภีร์ฉบับนี้เป็นบทเจรจาโต้ตอบระหว่างพระพุทธเจ้ากับเหล่าสาวก
 
นับตั้งแต่ช่วงเริ่มศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา แนวความคิดเกี่ยวกับการระลึกชาติได้แพร่สะพัดกว้างขวางมากขึ้น หนึ่งในบรรดากลุ่มนักปราชญ์ตะวันตกที่ให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ พอล กอกวิน (Paul Gauguin)  เมื่อครั้งที่เขาอาศัยอยู่ในตาฮิตี เขาได้เขียนบทความเกี่ยวกับการระลึกชาติไว้มาก มีอยู่เรื่องหนึ่งเขาเขียนไว้ว่า “เมื่อสังขารคนเราแตกดับแล้ว วิญญาณก็จะออกจากร่างเดิมไปสู่ร่างใหม่ ส่วนจะไปแฝงอยู่ในร่างของสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำหรือชั้นสูงนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมดีหรือกรรมชั่วของแต่ละบุคคล” พอลกล่าวว่า แนวความคิดเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของคนเรานั้น ได้มาจากคำสอนของ ไพทากอรัส นักปราชญ์กรีก ซึ่งเชื่อกันว่าได้รับการเรียนรู้มาจากเรื่องราวของอินเดียโบราณนั่นเอง
เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) นักบริหารธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา ได้เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวหนังสือพิมพ์ว่า “ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับการระลึกชาติเมื่ออายุ 16 ปี ความสามารถพิเศษในทางสร้างสรรค์ของบุคคลนั้น เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก บางคนคิดว่ามันเป็นพรสวรรค์ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์อันยาวนานที่ผ่านมาหลายชาติ”
ไบรอัน เจมีสัน นักค้นคว้าเกี่ยวกับการระลึกชาติได้กล่าวว่า “ประสบการณ์ในการระลึกชาติย้อนหลังไปในอดีตชาติ เป็นการยืนยันแนวคิดของกลุ่มบุคคลที่เชื่อว่าการระลึกชาติมีจริง การกลับชาติมาเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูราวกับว่าเป็นการสวมบทบาทการแสดงใหม่ ซึ่งเป็นการแสดงโดยดาราละครคนเดียวกัน”
ศาสตราจารย์ ดร.เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson) ผู้เชี่ยวชาญพิเศษคณะพาราไซโคโลยี(ปรจิตวิทยา)แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในสหรัฐอเมริกาได้กล่าวสรุปไว้ว่า “หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการระลึกชาติมักจะพบว่ามันเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กๆ โดยทั่วไปเด็กๆมักจะเริ่มระลึกชาติได้เมื่ออายุประมาณสองถึงสามขวบ”
นายพลยอร์จ เอส แพตตัน (George S. Patton) แห่งสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า เขาได้รับความรู้พิเศษเกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม จากกองทัพที่เคยทำสงครามในสมัยโบราณด้วยการระลึกชาติได้
ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาจำนวนมาก ที่ยอมรับและเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาติ หนึ่งในบรรดานักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกคือคาร์ล กุสตาฟ จุง  (Carl Gustav Jung) เขาเคยกล่าวว่า “ผมสามารถจะระลึกภาพในอดีตที่ผ่านมาแล้วหลายศตวรรษ ซึ่งมีคำถามเป็นจำนวนมากที่ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ผมคงต้องเกิดใหม่อีก เนื่องจากว่ายังค้นคว้างานต่างๆยังไม่สำเร็จ”

ความเชื่อเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดใหม่ของชาวฮินดูยุคใหม่

ชาวฮินดู หลายกลุ่มเชื่อว่ามนุษย์ สัตว์ พืช และแร่ธาตุต่างๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลก มีความผูกพันกับวัฏสงสารหรือการเวียนว่ายตายเกิด ชะตากรรมของมนุษย์จะมีกรรมเป็นตัวกำหนด การดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละคนจะเป็นไปตามอิทธิพลแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วที่แต่ละคนสั่งสมไว้ ผลกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นผลมาจากกรรมเก่าของชีวิตในอดีตชาติ และการปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง ถูกวิธี ถูกหลักการ ก็จะนำไปสู่โมกษะคือความหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างจริงจัง และใช้ความเพียรพยายามอย่างเต็มที่
ครั้งหนึ่ง มหาตมะคานธี (Mahatma Gandhi) รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป เคยอธิบายถึงความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดใหม่ ที่ทำให้ท่านเกิดความหวังและความฝันถึงโลกแห่งสันติ โดยท่านได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่า ความเกลียดชังระหว่างมนุษย์ด้วยกันจะคงอยู่ตลอดไป ตามทฤษฎีการเกิดใหม่ ข้าพเจ้ายังเชื่อว่าหากชาตินี้ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อสันติภาพไม่สำเร็จ ในชาติต่อไปก็คงสร้างสันติภาพแก่มวลมนุษย์ได้สำเร็จ”
โยคี ภักดิเวทานตะ ปราภูปาทะ (Bhaktivedanta Swami Prabhupada) ซึ่งไปเผยแฟร่ปรัชญาโยคีในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้กล่าวไว้ว่า “การกลับชาติมาเกิดใหม่(Reincarnation) หมายความถึง การที่วิญญาณในอดีตเข้าไปแฝงอยู่ในร่างใหม่ และชาติต่อไปก็เปลี่ยนไปยังร่างใหม่ต่อไปอีก บางทีอาจไปแฝงอยู่ในร่างสัตว์ เช่น สุนัข แมว หรือร่างมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นชนชั้นต่ำ ชั้นกลางจนถึงกษัตริย์ แต่ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในร่างใด ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์จากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายเสมอ เพื่อที่จะหนีให้พ้นจากกองทุกข์ดังกล่าวนี้ จะต้องบำเพ็ญธรรมหาทางหลุดพ้นออกจากร่างนั้นๆให้ได้”

ความเชื่อของชาวพม่า

เด็กพม่าที่สามารถระลึกชาติในอดีตได้ เรียกว่า วินซาส(Win-Zas) ในประเทศพม่ามีประเพณีประหลาดซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ เขาจะทำเครื่องหมายบนร่างกายของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว(การป้ายศพ)หรือกำลังใกล้จะตาย โดยหวังว่าเด็กจะได้มาเกิดใหม่ในครอบครัวเดียวกันอีก และจะมีตำหนิบนผิวหนังมาตั้งแต่กำเนิด เป็นเครื่องหมายไว้ให้ได้สังเกต

ความเชื่อของชาวเลบานอน

ตามชนบทหลายแห่งในเลบานอน ถือว่าหากมีเด็กคนใดที่สามารถระลึกชาติได้ มักจะได้รับการสนับสนุนยกย่องอยู่พอสมควร ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก  ดร.ซามี มาคาเร็ม (Dr.Sami Makarem) อาจารย์ประจำแผนกค้นคว้าภาษาอาหรับ ของมหาวิทยาลัยอเมริกันแห่งกรุงเบรุต ได้บันทึกไว้ว่า มักจะพบบุคคลที่สามารถระลึกชาติได้อย่างน้อยที่สุด 1 คน ต่อประชากร 500 คนเสมอ

ความเชื่อของชาวอาหรับ

“ทากามุส” เป็นคำภาษาอาหรับที่ใช้กับการระลึกชาติ ซึ่งแปลว่า การเปลี่ยนเสื้อผ้าของมนุษย์         

การสำรวจความเชื่อเกี่ยวกับการระลึกชาติ

เมื่อปี ค.ศ.1980(พ.ศ.2523) ประชาชนชาวอังกฤษ 29 จากจำนวน 1,314 คน ได้ตอบแบบสอบถามของ นิตยสารลอนดอน ไทมส์ โดยยืนยันและเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาติอย่างแท้จริง
ในปี ค.ศ.1982(พ.ศ.2525) หน่วยงานสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันโดยทั่วไป ได้ประกาศว่า ชาวอเมริกันเกือบทุกๆ 1 ใน 4 คนเชื่อว่าการระลึกชาติ ของคนเรามีจริง
และในปีเดียวกันนี้ ดร.ยอร์จ แกลลัป จูเนียร์  (George Gallup,Jr.) ได้สรุปผลจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนชาวอเมริกันทั่วไป เกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องการระลึกชาติว่า ประชากรที่เป็นผู้ใหญ่กว่า  53 % เชื่อว่าการระลึกชาติมีจริง กลุ่มบุคคลที่เชื่อถือดังกล่าวนี้ ปรากฏว่าเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ แบบเมทโธไดซ์  26 เป็นคริสต์ศาสนิกชนนิกายคาทอลิก 25 % และเป็นคริสต์ศาสนิกชนนิกายโปรเตสแตนต์ 21 % ที่เหลือนอกนั้นก็เป็นพวกที่นับถือศาสนาอื่นๆ
ที่น่าสนใจก็คือว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นแพทย์จำนวน  9 และเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจำนวน  8 ยอมรับว่า “การระลึกชาติได้มีจริง” โดยกล้ายืนยันและพร้อมที่จะพิสูจน์โดยการทดลองในเชิงวิทยาศาสตร์ให้เห็นอย่างชัดเจน
            จอห์น วิจนการ์ดส (John Wijngaards) นักบวชในศาสนาคริสต์ ได้ศึกษาวิจัยแนวโน้มระหว่างความเชื่อในพระเจ้ากับความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ในประเทศต่างๆในยุโรป มีข้อมูลปรากฏดังนี้คือ
 


 ภาพและข้อมูลจาก :  Facts and Figures of Reincarnation Belief in Europe (บทความ)
อ้างอิงข้อมูลจาก : "Pragmatic Reincarnation. The belief in reincarnation among young people in western culture" by John Wijngaards

ถามว่า “ความเชื่อในการกลับชาติมาเกิดใหม่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ?” คำตอบคือ “ใช่” เมื่อเรามองไปที่ผลการวิจัยที่ครอบคลุมความเชื่อมั่นในยุโรป ตั้งแต่ปี 1968 -- 1990(พ.ศ. 2511-2533) เราจะเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในการยอมรับการกลับชาติมาเกิดใหม่ 
ตัวอย่างจากกราฟในภาพจะเห็นได้ว่า ในปี 1968 มี 23 % ของชาวฝรั่งเศสที่เชื่อในการกลับชาติมาเกิดใหม่ ในปี 1990 มีตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 28 ในสหราชอาณาจักร(อังกฤษ)เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันจาก 18% เป็น 30% ในเนเธอร์แลนด์(ฮอลแลนด์) เพิ่มขึ้นจาก 10 เป็น 18 % การเพิ่มขึ้นนี้เป็นสิ่งที่โดดเด่นมากขึ้น เป็นเวลาเดียวกันกับที่ความเชื่อในพระเจ้าลดลง  
 
ที่มาของข้อมูล :
 
             จากหนังสือ ศาสตร์ลับระลึกชาติ ตายแล้วไปไหน
             แปลและเรียบเรียงโดย : บรรยง บุญฤทธิ์
             ภาพและข้อมูลเพิ่มเติม โดย : เว็บมาสเตอร์
             แปลความจากหนังสือและนิตยสารภาษาอังกฤษ ดังต่อไปนี้
 
1. AC Bhaktivedanta Swami Prabhupada,The Science of Reincarnation Bhaktivedanta Book 1982,USA,Page x111,xv,2-4,6-10 and 12
2. Bradbury Will Into the Unknown” Reader’s Digest Association Inc,1981:151-155,160-161
3. Fairley John and Welfare Simon Arthur C. Clark’s World of Strange Powers” William Collims Sons Co., Ltd,London 1984, Page 220-236
4. Fisher Joe The Case for Reincarnation” Granada Publishing Ltd,1985:Page x11-x111,5-11,14,16-18,29-32,40-41,47-50,57,103-112,116-117,132-133,115-170
5. Pro.Dr.Thelma Moss The Prabobility of The Impossible” Granada Publishing Ltd,1979 page 306,308-312.
6. The Unexplained : Mystries of Mind Space and Time” Obis Publishing Ltd,1983.Volume 1,2,5

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น