10:40

อิทธิพลของ ‘ความเชื่อ’ กับชีวิต

 

สังคมวุ่นวาย สังคมจะแตกแยก ก็เพราะมีมนุษย์หลายพ่อพันธุ์แม่มาอยู่รวมกัน ต่างคนต่างความคิด ต่างมีความเชื่อเป็นอัตตา มองในอีกแง่... การที่สังคมจะสงบ ร่มเย็น ผู้คนมีความสามัคคี ก็เพราะมนุษย์หลายพ่อพันธุ์แม่อีกนั่นเองต้องเป็นผู้สร้าง แม้จะต่างความคิด ความเชื่อ แต่ก็เรียกได้ว่ามีความคิดที่ดี มีความเชื่อที่ดี 

** “มนุษย์” กับ “ความเชื่อ” 

“ความเชื่อ” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้คนเกิดการยอมรับ เกิดความคิดที่แตกต่างและเกี่ยวโยงไปถึงการดำเนินวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน นั่นเพราะความเชื่อมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อก็เปรียบเสมือน “หนทาง” หนึ่งที่จะชี้ถูกชี้ผิดแก่ชีวิตของมนุษย์ได้ 

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือที่รู้จักกันดีในนาม ว.วชิรเมธี พระนักคิด นักเขียน ที่เปลี่ยนยุคธรรมะคือยาขม ให้กลายเป็นยุคธรรมะคือช็อกโกแลต พระอาจารย์มาเล่าเรื่องสนุกๆ ที่เกี่ยวกับความเชื่อเอาไว้หลายเรื่อง โดยได้ข้อสรุปว่า มนุษย์ยึดติดกับความเชื่อใดๆ ก็จะเกี่ยวพันโยงใยไปในทิศทางนั้นๆ 

ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านนั่งรถปิกอัพมาหาท่านที่วัดป่า จ.เชียงราย บรรจงกราบอย่างดี แล้วก็มาขอให้ช่วยสงเคราะห์ เอา 2 ตัวพอ ไม่ต้องถึง 7 ในขณะนั้นท่านทำงานสร้างกุฏิจนมือแตก จึงชูมือให้ดูแล้วบอกว่า “ถ้าโยมทำงานจนมือแตกเหมือนพวกอาตมา โยมจะไม่จน” เท่านั้น ผู้มาเยือนแปลกหน้าก็ลากลับแบบทันควัน 

พระมหาวุฒิชัยก็พานเข้าใจว่า “สงสัยโยมโกรธที่ไปพูดแทงใจดำและก็ตรงเกินไป คือสอนเขาตรงๆ ซึ่งๆ หน้า เป็นการสอนธรรมะกันตรงๆ คือทำงานให้มือมันแตกแล้วจะรวย แต่มนุษย์พอมีความเชื่อแล้วมันจะกำหนดความเชื่อคน เราสอนธรรมะโยมโครมๆ มันก็ไม่ฟัง แต่เขามีชุดความเชื่อของเขา เอาธรรมะที่เราให้ตรงๆ ไปถอดรหัส (ลองทายกันเอาเองว่าเลขอะไร) ถ้าเราเชื่ออย่างไรความเชื่อจะกำหนดวิถีชีวิตของเรา ความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อชีวิตของเรา” 

การที่สังคมหนึ่งๆ มีหลายความเชื่อ ย่อมเป็นทางออกที่ดีกว่ามีเพียงความเชื่อเดียว ซึ่งพระมหาวุฒิชัยให้อรรถาธิบายว่า “เชื่อไหมสังคมใดก็ตามที่มีความหลากหลายทางความเชื่อ และคนที่มีความหลากหลายทางความเชื่อสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ นั่นคือสังคมที่มีเสน่ห์มาก ประเทศไหนก็ตามที่มีระบบความเชื่อเดียว ประเทศนั้นจะเป็นประทศที่อึดอัดขัดข้อง ต่างจากประเทศที่คนมีความหลากหลายทางความเชื่อ ซึ่งเหมือนกับว่าเราไปยืนอยู่ในที่โล่งแจ้งที่มีอากาศหายใจได้อย่างโปร่งโล่ง ฉะนั้น ความหลากหลายทางความเชื่อจึงเป็นเสน่ห์ของประเทศที่เจริญแล้ว” 

สำหรับประเทศไทย นับเป็นประเทศที่มีพหุความเชื่อ แต่แม้ว่าเราจะยืนอยู่ในอาณาเขตที่สามารถเลือกเชื่อได้ หรือแม้พุทธศาสนาจะยอมรับว่ามนุษย์มีความหลากหลายทางความเชื่อได้ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ปล่อยให้มนุษย์เชื่ออะไรก็ได้ ทรงแนะนำชุดคำสอนชุดหนึ่ง แล้วตรัสว่ามนุษย์ควรจะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ทรงใช้คำว่า “ควรจะ” ไม่ได้ใช้คำว่า “ต้อง” 

“พระพุทธเจ้าขณะทรงแสดงกัณฑ์แรกที่เรียกว่า ปฐมเทศนา สิ่งแรกที่สอนหลังตรัสรู้ นั่นคือเรื่องของ สัมมาทิฐิ การมีระบบความเชื่อที่ถูกต้อง พอเรามีระบบความเชื่อที่ถูกต้อง ชีวิตของเราก็จะถูกต้องทันที 

ทำนองกลับกัน ถ้าเรามีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตของเราก็จะกลับตาลปัตรทันทีเช่นเดียวกัน ฉะนั้น เมื่อพูดถึงความเชื่อ พุทธศาสนาจะยอมรับว่า ความหลากหลายทางความเชื่อเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ใจกว้างจนไม่ได้จัดชุดความเชื่อที่ดีที่สุดเอาไว้ให้ ชุดความเชื่อที่พระพุทธเจ้าได้จัดสรรไว้ให้นั้นมีอยู่ 1 ชุด ชุดความเชื่อที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นชุดความเชื่อที่ดี ควรเจริญรอยตามนั้น อย่างน้อยมีอยู่ 4 เรื่อง ขณะเดียวกันก็มีชุดความเชื่ออยู่ 3 เรื่องที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพึงระวัง” พระมหาวุฒิชัย กล่าว 

**เส้นบางๆ ระหว่างความเชื่อที่ “ถูก-ผิด” 

ชุดความเชื่อที่พึงระวัง 

พระพุทธเจ้าได้จัดสรรไว้ 3 ข้อ 

1.“เชื่อกรรมเก่า” เกิดมาจนก็บอกว่ากรรมเก่า เกิดมาไม่หล่อ ไม่สวย ก็บอกว่ากรรมเก่า ทั้งๆ ที่เพื่อนบอกว่าเดี๋ยวนี้สวยด้วยมีดหมอได้เธอก็ไม่ปรับปรุง ยอมรับกรรมเก่าตลอดเวลา รัฐบาลคอร์รัปชันก็บอกว่ากรรมของเรา 

2.“เชื่อเทพเจ้าต่างๆ” ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในเงื้อมมือของเทพเจ้าทั้งหมด ชีวิตจะเป็นอย่างไรรอให้เทพบันดาล ถ้าเรารอให้เทพบันดาลมนุษย์จะต้องอ้อนเทพ คนไทยเลยเป็นคนขี้อ้อน 

3.“เชื่อว่าแล้วแต่ชะตากรรมจะพาให้เป็นไป” เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลัทธิบังเอิญ” อะไรจะเกิดไม่รู้หรอก ทุกอย่างบังเอิญหมดเลย ปฏิวัติก็บังเอิญ คอร์รัปชันก็บังเอิญ 

นี่คือ 3 ลัทธิที่พระพุทธศาสนาบอกให้พึงระวัง เพราะว่ามันเป็นลัทธิที่ทำให้มนุษย์ “ไม่รับผิดชอบตัวเอง” เช่นหากเราเชื่อมั่นในกรรมเก่า 100 เปอร์เซ็นต์ เราจะกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ยอมจำนน ไม่ลุกขึ้นสู้ 

ขณะที่ชุดความเชื่อแบบเทพเจ้าทำให้เราไม่เชื่อมั่นในตนเอง แล้วยอมมอบกายถวายชีวิตให้เทพ และชุดความเชื่อแบบ “ลัทธิบังเอิญ” ทำให้เราเป็นคนที่หลักลอยและคอยงาน ไม่คิดที่จะลุกขึ้นมาพัฒนาอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีที่มาที่ไป 

ชุดความเชื่อที่ดี 

ชุดความเชื่อที่พระพุทธศาสนาบอกว่า เราควรจะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อในทัศนะของพุทธ มีอย่างน้อย 4 เรื่อง 

1.“เชื่อในระบบเหตุปัจจัย” สอดคล้องกับระบบความเชื่อที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันอยู่ทุกวันนี้ นั่นคือ เชื่อว่าเบื้องหลังปรากฏการณ์ทุกอย่างในโลกล้วนมีระเบียบวาระของมันเอง เช่น โยนหินลงน้ำ ไม่ว่าก้อนเล็กก้อนใหญ่ หินต้องจม นี่เป็นกฎของธรรมชาติ หรือภาษาพระเราเรียกว่า ธรรมนิยาม คือ กฎของระบบแห่งเหตุและผล ทุกสิ่งทุกอย่างมีระบบเหตุและผลอยู่ในตัวของมันเอง 

ถ้าเราเชื่ออย่างนี้เราจะกลายเป็น “ปัญญาชน” เพราะเราจะมองอะไรในลักษณะมีที่มาและที่ไป ไม่มองอะไรในลักษณะเป็นเสี้ยวเป็นเศษและขาดเป็นช่วงๆ เราจะกลายเป็นมนุษย์ที่ไม่คิดข้ามช็อต ไม่คิดตัดตอน เราจะมองอะไรในลักษณะมีที่มาที่ไปเสมอ และคิดต่อเนื่องโยงใยเป็นสายสัมพันธ์ นี่เป็นวิธีคิดวิธีเชื่อแบบวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับพระพุทธศาสนา 

2.“ชุดความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์” พระพุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์มีศักยภาพพิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง นั่นคือศักยภาพในศาสตร์แห่งการเรียนรู้ หรือรู้จักฝึกฝนพัฒนา มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการฝึกฝนพัฒนา เราอยากเก่ง อยากพัฒนาในศักยภาพด้านไหนมันฝึกกันได้ ศักยภาพแบบนี้ภาษาพระเรียกว่า เวไนยสัตว์ คือสัตว์ที่ฝึกกันได้ 

3.“เชื่อมั่นในตนเอง” พูดง่ายๆ คือ อัตตาหิอัตโนนาโถ ถ้าเราเชื่อมั่นในตนเองเราจะกลายเป็นบุคคลที่ไม่หวังการดลบันดาลประทานพรจากมือที่ไม่เห็น เราจะพึ่งมันสมอง สองมือของเรา นี่คือระบบความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นชุดความเชื่อที่พระพุทธเจ้าเสนอให้กับมนุษยชาติทั่วทั้งโลก 

มีคนเคยถามว่าเชื่อมั่นในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเชื่ออย่างไร พระองค์ก็ตอบว่าเชื่อตัวเองนั่นแหละ ฉะนั้น มนุษย์ที่เชื่อมั่นในตนเองจะสามารถทำอะไรได้มากมาย มนุษย์เป็นผู้เชื่อมั่นในตนเอง จะเป็นบุคคลที่รับผิดชอบในตนเอง จะคิด จะพูด จะทำอะไร ก็ทำที่นี่เดี๋ยวนี้ แก้ปัญหาได้ทันตาเห็น 

4.“เชื่อในกฎแห่งกรรม” คือความเชื่อมั่นที่ว่าทุกครั้งที่เราทำอะไรก็ตามประกอบด้วยเจตนา จะมีผลตามมาเสมอ ผู้ให้เป็นวัยรุ่นหน่อยก็คือ ทุกๆ action ต้องมี reaction เวลาเราทำอะไรที่ประกอบไปด้วยเจตนาจะมีจิตอันหนึ่งที่ทำหน้าที่เหมือนหน่วยความจำ เราเรียกว่าจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกนี้จะประมวลผลทุกสิ่งทุกอย่างฝังอยู่ในนี้ เป็นจิตใต้สำนึกของเรา จะแสดงตัวตอนหลับ ตอนเพ้อ ตอนอกหักรักคุด ตอนใกล้ตาย ตอนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ จิตใต้สำนึกจะแสดงตัวออกมา 

พอเราเชื่อกฎแห่งกรรมเราจะเป็นคนที่รับผิดชอบชีวิต เราจะเลือกทำในสิ่งที่ดีงาม เพราะว่าถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดีงาม สิ่งนั้นจะย้อนกลับมาเล่นเราเสมอไปเหมือนบูเมอแรง “มนุษย์เก็บเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองหว่านเสมอไป” นั่นแหละคือกฎแห่งกรรม 

พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนายอมรับความหลากหลายทางความเชื่อว่าเป็นธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน แต่ถ้าเรามีชุดความเชื่อดีๆ มาเชื่อสักชุดหนึ่ง โอกาสที่เราจะไม่ต้องไปลองผิดลองถูกกับชุดความเชื่อที่อันตรายก็หายไป 

+++++++++ 

ต่อความเชื่อด้วยเหตุผล ต่อความสับสนด้วยปัญญา 

“ความเชื่อ” ถูกปลูกฝังอยู่ในวิถีชีวิตของมนุษย์มาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีหลากหลายความเชื่ออยู่ในสังคมไทย ทั้งความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ ฯลฯ แม้ว่าความเชื่อจะมีส่วนในการเป็นเข็มทิศกำหนดชีวิต แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นได้ตลอด หากมนุษย์นั้นสามารถมีปัญญาอยู่เหนือความเชื่อ แต่อย่างไรก็ตามจนแล้วจนรอด “มนุษย์” กับ “ความเชื่อ” มักจะแยกกันไม่ออก 

จากเวทีเสวนา “มนุษย์กับความเชื่อ” ในโครงการสัมมนาวิชาการ-วิจัยขึ้นในหัวข้อ ถอดรหัสศาสตร์แห่งมนุษย์ ในความร่วมมือของนักวิชาการ-วิจัย สายมนุษยศาสตร์ 6 สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมี พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) แสดงธรรม ร่วมกับ ผศ.ดร.อรพิน สถิรมน นักจิตวิทยา ภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา โหรชื่อดัง 


ทั้ง 3 ท่าน ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ “ความเชื่อ” ในแง่มุมที่แตกต่างกัน 

**ความเชื่อ ค่านิยม โยงใยชีวิต 

ผศ.ดร.อรพิน สถิรมน นักจิตวิทยา ภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

“ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีความหลากหลาย นอกจากแนวคิดทางศาสนาที่ศาสนาพุทธให้ชุดความเชื่อที่แนะนำไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้ก็มีอีกมุมหนึ่งที่สังคมไทยมีความเชื่ออยู่ และนับวันก็จะเห็นว่ามีความเชื่อเหล่านี้มากเพิ่มขึ้นด้วย 

ถ้ามองในมุมของจิตวิทยา ความเชื่อมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง คำที่มาคู่กับความเชื่อ เช่นคำว่า ทัศนคติ ค่านิยม คือมันบวก เป็นการให้คุณค่ากับสิ่งที่เราเชื่อ และเราก็มีค่านิยมอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งการโน้มเอียงที่จะมีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเกิดจากความเชื่อของเรา” 

ผศ.ดร.อรพิน ยังได้เปรียบการทดลองทางวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยากับระบบความเชื่อที่พึงระวัง “ในทางจิตวิทยาเชื่อว่า การเชื่อชะตากรรมเป็นสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ เรามีการทดลอง โดยการเอาสุนัขมาชอร์ตไฟฟ้า แล้วจับให้มันหนีไม่ได้ ทำหลายๆ หนเข้า จะพบว่ามันเกิดการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่เรียกว่า learned คือการเรียนรู้ที่จะไม่ช่วยตัวเอง ค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ หลังจากถูกชอร์ตไปหลายๆ ครั้งมันก็จะยอมแพ้ จะถูกชอร์ตเท่าไหร่มันก็จะนอนยอม ไม่หนีอีกต่อไป ทั้งๆ ที่จริงเปิดประตูเอาไว้ให้มันวิ่งหนี แต่ปรากฏว่ามันไม่ยอมวิ่งหนี เพราะมันเชื่อว่ามันไม่มีทางออก เมื่อมาเทียบกับคนบางทีถ้าเชื่อในเรื่องของกรรมเก่า เราก็จะไม่พยายามแก้ไขเพราะคิดว่าแก้ไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ มีทางออก มีวิธีอีกเยอะแยะ ไม่อย่างนั้นสังคมไทยคงจะไม่เจอวัฏจักรที่เห็นว่า จน เครียด กินเหล้า และจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ” 

ผศ.ดร.อรพิน ยังยกตัวอย่างของความ (ไม่) เชื่อมั่นในตัวเองของวัยรุ่น ในมุมมองของนักจิตวิทยา เอาไว้ “วัยรุ่นที่ไปเชื่อและหลงรักเขา จริงๆ แล้วพบว่าในทางจิตวิทยาความเชื่อจากตรงนี้จะนำมาแปลเป็นความเศร้า เป็นอาการในทางจิตเวชเยอะ จะพบได้ในวัยรุ่นเป็นจำนวนมาก รักเขาแล้วเขาไม่รักแล้วเกิดความเศร้า ความเชื่อที่อยู่ใต้ความเศร้านั้นคือความไม่มั่นใจในตัวเอง เกิดจากการที่ไม่ได้รักตัวเอง และไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เกิดเป็นความเศร้า เมื่อเขาไม่รักเราแสดงว่าเรานี่แย่แล้ว เราไม่ดี ไม่มีคุณค่าพอ ใต้ความเชื่อนั้นลงไปอีก คือขนาดเขายังไม่รักเรา เขาทิ้งเราได้ อย่างนี้เราจะไปหาใครได้อีก กลายเป็นความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง 

ในทางจิตวิทยาจะพบว่าคนที่เศร้า ผิดหวังจากความรัก ส่วนใหญ่จะมีเซตความเชื่อ คือ เชื่อว่ารักแล้วรักได้หนเดียว รักคนเดียว คนนี้แหละที่ใช่ ไม่ลืมหูลืมตาที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเอง” 

**การศึกษา ช่วยยกระดับความเชื่อ 

อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา โหรชื่อดัง พูดเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์ 

“ความเชื่อของโหราศาสตร์นั้น ต้องเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง อย่าไปเชื่อทั้งหมด เพราะว่าบัดนี้เป็นเรื่องของการพาณิชย์ ดังนั้นจะแตกแขนงความเชื่อในทางโลกว่าเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเราอยู่ในครอบครัว มีลูกหลายคน ลูกบางคนก็เชื่อพ่อ ไม่เชื่อแม่ บางคนก็เชื่อแม่ ไม่เชื่อพ่อก็มี เวลาไปเรียนหนังสือเราก็เชื่อครูคนโน้นคนนี้ เพื่อนคนนี้เราก็เชื่อ ซึ่งหลากหลาย จนกระทั่งความเชื่อเป็นความหลง เป็นความงมงาย ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อที่ผิดหรือถูกก็เชื่อไปแล้ว” 

อรรถวิโรจน์ยังได้ยกความสำคัญของการศึกษาขึ้นมาช่วยกำกับความเชื่อถูก-ผิดของมนุษย์ตั้งแต่ยังเล็ก “สิ่งที่สำคัญที่สุดของเราก็คือการศึกษา ท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ หรือว่าอธิการบดี อธิบดี หรือว่าปลัดกระทรวงศึกษาฯ การสอนเด็กให้รู้จักความเชื่อตั้งแต่ชั้นอนุบาลให้รู้ว่าเราควรจะเชื่ออะไรด้วยเหตุและผล เหมือนกับเราเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก จะเชื่อในการวิจัย จะเชื่ออย่างไร เชื่อแล้วต้องนำมาวิเคราะห์ดูว่าถูกต้องหรือไม่ 

แม้แต่ในการเลือกตั้ง ส.ส. เราต้องมาเชื่อว่าเราเชื่อพรรคไหน ฉะนั้น เราต้องมาวิเคราะห์ดูว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า ไม่ใช่เชื่อเพราะเขาเอาเงินมาให้เรา อันนั้นคือความเชื่อที่ว่าเขาคงจะดี เราไปหลงเชื่องมงายกับโฆษณาต่างๆ สิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยยากจนหรือทรงตัว เลือกตั้งแล้วเลือกตั้งอีก เพราะว่าเราเชื่ออะไรไม่ถูกต้อง เราจับจุดไม่ถูกว่าอะไรคือความเชื่อที่แท้จริง เพราะฉะนั้น การศึกษาจึงสำคัญมากในการกลั่นกรองความเชื่อว่าถูกหรือผิด” 

**กำกับ ตรวจสอบ ความเชื่อ ด้วยปัญญา 

“พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี” พูดถึงระบบความเชื่อใหญ่ๆ ของคนทั้งโลก 

ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ยกตัวอย่างบทกวีจาก “โคลงโลกนิติ” ที่พูดถึงระบบความเชื่อใหญ่ๆ เกือบทั้งหมดของคนทั้งโลกเอาไว้ในกวี 

หมอแพทย์ทายว่าใช้ ลมคุม 

โหรว่าเคราะห์แรงรุม โทษให้ 

แม่มดว่าผีกุม ทำโทษ 

ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้ ก่อสร้างมาเอง 


โคลงบทนี้ครอบคลุมความเชื่อถึง 4 อย่าง คือ แบบวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ และพุทธศาสตร์ ที่เป็นระบบความเชื่อใหญ่ที่ครอบคลุมมนุษยชาติ แต่โคลงโลกนิตินี้ยังไม่ได้พูดถึงระบบความเชื่ออยู่ระบบหนึ่งที่สำคัญมาก และทำให้สังคมไทยปั่นป่วน ที่ว่าเงินสามารถบันดาลทุกอย่างได้ ทุกอย่างแปรปรวนหมด เพราะเงินมีอำนาจมาก 

ระบบความเชื่อล่าสุดที่ครอบคลุมสังคมไทยและมนุษยชาติทั้งโลกก็คือ “ธนศาสตร์” ศาสตร์ที่ว่าด้วยพลังของเงิน เงินบริหารจัดการทุกอย่างได้หมด ความเชื่อนี้ทำให้ระบบความเชื่อเก่าแก่โบราณของสังคมไทยเปลี่ยนแปรไป นั่นคือความเชื่อที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตอนนี้คนไทยเริ่มสงสัยว่า ทำไมคนโกงได้ดีเป็นรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัยเลย เงินมันง้างได้แม้กระทั่งกฎแห่งกรรม ระบบความเชื่อนี้ทำให้ความเชื่ออื่นสั่นคลอน 

พระมหาวุฒิชัยยังให้อรรถาธิบายถึงท่าทีต่อความเชื่อว่า “ความเชื่อนั้นสำคัญมาก เราเชื่ออย่างไร ชีวิตเราเป็นอย่างนั้น พุทธศาสนาไม่ได้บอกว่า ความเชื่อมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราไปเสียทั้งหมด ดังนั้น พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเชื่อจะตรัสถึงปัญหาเสมอไป ดังนั้น หลักความเชื่อในพระพุทธศาสนาจะต้องถูกตรวจสอบ หรือถูกกำกับด้วยปัญญา เพราะมีเหตุผล มีความจริงรองรับ จึงเป็นความเชื่อที่นำมายึดเหนี่ยวดำรงชีวิต 

มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดมาในความเชื่อในรูปแบบไหน แต่มนุษย์สามารถก้าวพ้นจากความเชื่อมาอยู่ด้วยความรู้ได้ ในอดีตเป็นไปได้ว่ามนุษย์มีปัญญาไม่มาก เราจึงถูกความเชื่อกำหนด แต่เมื่อใช้ปัญญาตรวจสอบได้ความรู้ ก็สามารถก้าวพ้นมามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้ 

ดังนั้น มีความเชื่อตรงไหน ควรมีปัญญาอยู่ตรงนั้น เชื่อสิ่งใดก็ตามเอาปัญญาพิสูจน์ เลือกเฟ้น มีเหตุ มีคุณค่า สาระประโยชน์ สามารถนำมาหยิบจับเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตได้ ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า ต่อความเชื่อด้วยเหตุผล ต่อความสับสนด้วยปัญญา ถ้าเราไม่มีเหตุผลกำกับความเชื่อ จะเป็นศรัทธาจริต ถูกจูงจมูกได้ไม่ต่างจากวัวควาย ต่อความสับสนด้วยปัญญา ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาแก้ปัญหา เราก็จะใช้อารมณ์แก้ปัญหา ปัญหาต่างๆ ต้องใช้การแก้ไข แต่คนไทยชอบการแก้เคล็ด ปฏิวัติจึงเกิดซ้ำซ้อน มนุษย์มีศักยภาพทางปัญญา สามารถทิ้งความเชื่อมายืนเหนือความเชื่อด้วยปัญญาได้ 
10:34

หัวใจนักปราชญ์‏



 ในหนังสือชุมนุมนิพนธ์อ.น.ก.มีบันทึกคำปาฐกถาของท่านอำมาตย์เอกพระยาอุปกิตศิลปสารไว้ว่าสิ่งที่

ท่านยึดเป็นหัวใจนักปราชญ์มี ๔ อย่าง

เรีกยขานกันย่อๆว่า สุ จิ ปุ ลิ

มาจากคำสุต จิต ปุจฉา ลิขิต

แปลไทยเป็นไทยว่าการฟัง การคิด การถาม การเขียน

ท่านพระยาอุปกิตฯบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการทั้ง ๔ นี้ได้บริบูรณ์จึงจะมีฐานะเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง

ขยายความสักนิดก็ได้ว่า


สุ (การฟัง) ได้แก่การแสวงหาความรู้

การเล่าเรียนในสมัยโบราณต้องอาศัยการฟังเป็นพื้นเพราะการใช้หนังสือยังไม่มีแพร่หลาย 

ท่านจึงจัดเอาการฟังเป็นสำคัญ

คนที่จะเป็นนักปราชญ์ได้ก็ต้องได้ฟังมามากซึ่งเรียกว่าพหูสูต คือผู้ฟังมาก

แต่สมัยนี้วิชาหนังสือแพร่หลายทั่วไปจึงควรนับการอ่านเข้าในพหูสูตนี้ด้วย


จิ (การคิด) ในที่นี้ท่านหมายความว่าให้ใช้ความคิด

เป็นขั้นที่ ๒ ต่อจากการฟังและการอ่าน กล่าวคือเมื่อเราฟังหรืออ่านเรื่องราวใดๆเราต้องคิดตามไปด้วย 

ถ้้าพบข้อความแม้นเป็นคำพูดที่ไม่เข้าใจก็ผูกจิตต์ไว้ตรึกตรองภายหลัง เพราะถ้าจะเอามาตรึกตรองเวลา

นั้นก็จะไม่ได้ฟังเรื่องต่อไป


ปุ (การถาม)

เป็นข้อสำคัญไม่แพ้ข้อต้นๆเพราะตามธรรมดาไม่มีใครเป็นสัพพัญญูรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังนั้นผู้ที่จะเป็น

นักปราชญ์จึงต้องพยายามหาความรู้ในการถามด้วย เบื้องต้นก็คือผู้ที่เราฟังมาจากเขาหรือผู้แต่งหนังสือที่

เราอ่านและครูบาอาจารย์ของเรา เมื่อยังติดขัดก็ถามผู้รู้อื่นๆต่อไปและไ่ม่ควรที่จะกระดากอายในการ

ไต่ถามสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะว่า

การทะนงตัวมากหนึ่ง

ดูถูกผู้อื่นว่าไม่รู้หนึ่ง และ

การถือเกียรติว่าไม่ควรถามคนต่ำต้อยกว่าตนหนึ่ง

ทั้งสามนี้เป็นมารที่จะรั้งเราให้ลงจากฐานะเป็นนักปราชญ์

อนึ่งการถามนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับจรรยามารยาทด้วยเพราะเราจะต้องพึ่งบุคคลหรือหมู่คณะเพื่อบำรุง

สามัคคี ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นจรรยาทางสมาคมในการใช้กิริยาและวาจาของเราให้สมควรอยู่ด้วย

ถ้าเรายึดหลักสุภาษิตว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย” ก็กินความมาถึงการถามของเราได้ครบครัน 

เพราะการถามก็รวมอยู่ในการพูด และเป็นการพูดขอความเอื้อเฟื้อจากผู้รับคำถามของเราด้วยจึงควรประ

กอบด้วยสัมมาคารวะอันงดงาม


ลิ (การเขียน)

กล่าวคือท่านใ้ห้บันทึกข้อที่ควรรู้ควรจำไว้

หัวใจตัวลินี่แหละสำคัญกว่าตัวอื่นเพราะเป็นการชำระผลของ การฟัง การอ่าน การใช้ความคิด การถามคือ

การสอบสวนของผู้ที่จะเป็นนักปราชญ์ ซึ่งต่อไปภายหน้าอาจจะปรากฏว่าผู้ที่บันทึกข้อความไว้เป็นนัก

ปราชญ์หรือไม่ เป็นนักปราชญ์เพียงไรเป็นต้น

ในสมัยโบราณการบันทึกข้อความนับว่าสำคัญมากเพราะมีผู้รู้หนังสือน้อย ท่านจึงตั้งไว้เป็นหัวใจสุดท้าย

และสำคัญที่สุดของนักปราชญ์ และก็สำคัญจริงๆด้วย โปรดนึกถึงจดหมายเหตุของหลวงจีนฟาเหียนที่ไป

สืบพุทธศาสนาในอินเดีย หลักศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชในอินเดีย หลักศิลาจารึกของพ่อขุน

รามคำแหงกรุงสุโขทัย เป็นต้น ว่าให้ประโยชน์ทางประวัติศาสตร์และความรู้อื่นๆเพียงไร

ถ้าพูดถึงวิทยาการแล้ว ข้อสำคัญที่สุดก็คือบันทึกความรู้ที่ได้ค้นคว้าลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อผู้

ศึกษารุ่นหลังจะได้ดำเนินรอยตาม เมื่อได้จริงตามนั้นก็จะได้บันทึกต่อๆไป ซึ่งจะเป็นความรู้ทางวิทยาการ

มากขึ้นๆที่เราจะได้เล่าเรียนและใช้ประโยชน์ในการค้นคว้านั้นๆต่อไปจึงนับว่าสำคัญที่สุด

10:28

แง่มุมความคิดของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก

มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ 
มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31 , 000 ล้านดอลล่าร์ 
(เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท โอ้แม่เจ้า) 


ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา : 

1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป! 

2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์ 


3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา 
ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม 


4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน 

5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท 
เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี 
เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ 

7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ 
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย 
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1 

8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์ 


9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน 
บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล 
เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์ 

10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน 

11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า : 

ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง 

มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน 
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน 
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน 
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน




10:26

ชาวยิวเข้มแข็งได้อย่างไร



โดย รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล
อธิการบดีมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด

ธงชาติอิสราเอลโบกสะบัดในโอกาสครบ 60 ปีแห่งการก่อตั้งประเทศอิสราเอล เมื่อปี พ.ศ. 2551

เรื่องชาวยิวนั้นเราได้ยินตั้งแต่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่การสร้างประเทศอิสราเอลจนมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษา โดยเฉพาะชนชาติยิวเน้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยี

แม้ว่ากลุ่มชาวยิวและกลุ่มประเทศอาหรับจะมีปัญหาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ชาวโลกมีมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่อีกด้านหนึ่งได้อ่านจากนักเขียนชาวยิว 2 คน คือ แดน ซีเนอร์ และซาอูล ซิงเกอร์ สะท้อนความเป็นประเทศอิสราเอลในแง่มุมทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งผ่านสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น คิดว่าก็น่าศึกษาในอีกด้านหนึ่ง

ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกจากพิษ “แฮมเบอร์เกอร์” ของสหรัฐอเมริกา อิสราเอลนั้นไม่ได้รับผลกระทบมาก แถมยังสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว เขาอธิบายว่า ตรงนี้มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพจากการขับเคลื่อนทางเทคโนโลยีโดยแท้ และก็ไม่ได้มาจากการกู้ยืมเงินอย่างง่ายๆ หรือการปั่นราคาที่ดินให้สูง

กุญแจสำคัญคือวัฒนธรรมด้านการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีร่วมกับการสร้างผู้ประกอบการทางธุรกิจได้อย่างหนาแน่นที่สุดในโลก โดยการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก เมื่อคิดปริมาณเงินลงทุนต่อหัวประชากรแล้ว อิสราเอลมีมากกว่าสหรัฐอเมริกา 2.5 เท่า ยุโรป 30 เท่า จีน 80 เท่า อินเดีย 800 เท่า

ตรงนี้คงคุยได้เพราะอิสราเอลมี ประชากรน้อยแค่ 7.5 ล้านคน เป็นชาวยิว 5.6 ล้านคน และชาวยิวในอเมริกาอีก 6 ล้านคน ประชากรน้อยเมื่อหารต่อหัว ตัวเลขการลงทุนจึงดูดีเมื่อคิดตัวเลขเทียบกับประเทศประชากรหลายร้อยล้านถึงพันล้าน

แต่จุดเด่นที่น่าสนใจคือ ประเทศ อิสราเอลสร้างวัฒนธรรมเรื่องระบบเพื่อให้มีการก่อเกิดเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุดยอดอย่างสิงคโปร์ แต่การสร้างวัฒนธรรมนี้ได้มาจากการฝึกฝนอย่างหนัก มากกว่าการค้นคว้าวิจัยโดยมีการยกตัวอย่างว่า คนหนุ่มสาวชาวอิสราเอลมีวุฒิภาวะสูงกว่าคนอเมริกัน เนื่องมาจากการเกณฑ์ทุกคนเข้าฝึกทหาร โดยให้มีการทำงานกันเป็นทีมเหนือตัวบุคคล การทำงานให้สำเร็จได้โดยแม้ว่าจะไม่มีทรัพยากรเพียงพอและระบบสารสนเทศที่ไม่สมบูรณ์ กระทั่งให้คิดทำโดยไม่มีการเตรียมตัว คือให้มีการเตรียมพร้อมทำงานเป็นทีมอยู่ทุกชั่วขณะที่ต้องการเช่นเดียวกับกองทหารที่พร้อมรบอยู่เสมอ

พอมีสัญญาณภัยมาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็สามารถตั้งทีมพร้อมรบทันที

ในภาคธุรกิจก็เช่นเดียวกัน เมื่อค้นพบเทคโนโลยีก็นำมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาทันที โดยยกตัวอย่างการค้นพบเซ็นเซอร์เป็นกล้องขนาดเท่าเม็ดยา ก็คิดให้คนไข้กลืนเข้าไปเพื่อส่องดูและวินิจฉัยโรคภายในท้องของคนไข้ โดยไม่ต้องเสียเวลาผ่าตัดทำให้คนไข้เกิดเป็นแผลอันตราย บริษัทนี้ชื่อ พิลแคม (PillCam) นอกจากนี้การมีนโยบายเปิดรับผู้อพยพมากกว่า 70 ชาติเข้ามาเสี่ยงโชค เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาสมัยก่อนก็สามารถที่จะเลือกคนเก่งเข้ามาช่วยสร้างชาติได้ ด้วยนวัตกรรมที่แต่ละคนมี

ท่านผู้อ่านก็พิจารณาดู รู้ข้อเด่นของเขาตรงไหนที่สร้างคุณประโยชน์ได้ ก็นำไปคิดต่อยอดได้ไม่เสียหาย.
10:24

อารมณ์ขันนาซีเยอรมัน‏

ภาพของทหารนาซีเยอรมันยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เราคุ้นเคยกันอาจจะเป็นทหารที่อยู่ในระเบียบ อยู่ในเครื่องแบบที่เท่ พวกเขารุกรบด้วยความดุดัน โหดร้าย ฆ่าไม่เลิกหน้า ความจริงข้อหนึ่งที่หลายคนแทบจะไม่เคยคิดก็คือ พวกเขาเป็นทหารที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันเหลือเฟือ แม้ในยามที่เผชิญกับความทุกข์ทรมาณแสนสาหัสในการรุกรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องยกกำลังเข้าไปติดแหง่กอยู่ในสหภาพโซเวียต




ในการบุกโซเวียตระยะแรก ทหารเยอรมันทำได้ดีเกินคาด พวกเขาตีฝ่าทหารโซเวียตจนแตกกระเจิงในแทบจะทุกแนว แต่แล้วพวกเขาก็แพ้ภัยตัวเอง เมื่อการส่งกำลังบำรุงไม่สามารถกระทำได้ เพราะพวกเขารุกเข้าไปลึกเกินไป เมื่อไม่มีอาหาร ก็ต้องไปปล้นสะดมภ์จากชาวบ้าน ชาวบ้านเองก็ต้องการอาหารประทังชีวิตในช่วงฤดูหนาว จึงต้องใช้กลยุทธทุกอย่างในการปกป้องอาหารของตนเอง ฝ่ายทหารเยอรมัน ก็ต้องใช้ทุกวิถีทางเช่นกันในการตามหาอาหารเหล่านั้น

นอกจากนั้น ทหารเยอรมันก็ยังเจอกับ "ระเบิดหมา" เมื่อโซเวียตเอาสุนัขไปฝึกให้มันมุดเข้าใต้ท้องรถถัง ซึ่งเมื่อมันมุดเข้าไปได้แล้ว เสาสวิตช์ที่หลังของมันก็จะไปชนเข้ากับใต้ท้องรถถัง ทำให้ระเบิดที่มันพกมาด้วยเกิดระเบิด
เมื่อความเครียดถาโถมเข้ามาทั้งจากคนและจากหมา วิธีบรรเทาความเครียดของบรรดาทหารเยอรมันก็คือ การหาเรื่องหัวเราะ
และนี่คือก็คือคู่มือ( แบบขำๆ ) สำหรับทหารเยอรมันจากแนวรบตะวันออก (โซเวียต) ที่โชคดี ได้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน
" ท่านต้องรำลึกอยู่เสมอว่าท่านได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนประเทศของเรา ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับที่ท่านคุ้นเคย ท่านจะต้องศึกษาผู้คนของประเทศเรา ต้องยอมรับขนบธรรมเนียมของคนเหล่านั้น และหลีกเลี่ยงในการแสดงพฤติกรรมที่ท่านหลงรักอย่างมาก
อาหาร - ที่นั่น ท่านไม่จำเป็นต้องรื้อพื้นปาเก้ต์ หรือพื้นชนิดอื่นๆของบ้าน เพราะมันฝรั่งถูกเก็บไว้คนละที่
เคอร์ฟิวส์ - ถ้าท่านลืมกุญแจ ให้พยายามใช้สิ่งของที่มีสัณฐานกลมๆแบนๆเพื่อเปิดประตู อนุญาตให้ใช้ระเบิดมือได้ ในกรณีที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดเท่านั้น
การต่อต้านพลพรรคใต้ดิน - ไม่จำเป็นต้องถามประชาชนเรื่องรหัส หรือเปิดฉากยิงทันทีที่ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจ
การต่อต้านสัตว์ - สุนัขติดระเบิด มีแต่เฉพาะในสหภาพโซเวียตเท่านั้น อย่างเลวร้ายที่สุด สุนัขเยอรมันก็แค่กัดเท่านั้น  แต่มันไม่ระเบิด  การยิงสุนัขทุกตัวที่พบเห็น แม้ว่าในโซเวียตจะเป็นเรื่องที่แนะนำให้กระทำ แต่มันก็อาจจะไม่สร้างความประทับใจให้ผู้พบเห็นในประเทศของเรา
ความสัมพันธ์กับพลเรือน - ในเยอรมนี การที่ใครบางคนสวมใส่เสื้อผ้าของสตรีนั้น ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องเป็นพลพรรคใต้ดิน แต่กระนั้น คนเหล่านี้ก็เป็นอันตรายสำหรับทหารทุกนายที่มาจากแนวหน้า
ทั่วไป - ทหารที่ได้กลับไปพักที่บ้านเกิดเมืองนอน ไม่ควรไปพูดให้ใครฟังเรื่องสวรรค์ที่มีอยู่ในสหภาพโซเวียต เพราะหาไม่แล้ว ทุกคนก็จะแห่กันมาที่นี่ และมาแย่งความสะดวกสะบายที่พวกเรากำลังเสพย์มันอยู่ไปเสียหมด

เรียบเรียงจากหนังสือเรื่อง STALINGRAD ของ แอนโทนี่ บีเวอร์


10:22

จาก 'เบโธเฟน' ถึง 'เบรคชท์' อานุภาพของศิลปะใน The Lives of Others

 
แม็กซิม กอร์กี้(1868-1936) นักเขียนชาวรัสเซีย บันทึกคำพูดของ วลาดิมีร์ เลนิน(1870-1924) ผู้นำนักปฏิวัติ ไว้ในหนังสือ Days with Lenin ว่า 


แม็กซิม กอร์กี้
Maksim Gorky (1868-1936)

“ผมว่าไม่มีบทเพลงใดจะไพเราะไปกว่า Appassionata, ผมฟังได้ทุกวัน ช่างเป็นบทเพลงที่สุดวิเศษน่าอัศจรรย์ ผมรู้สึกหยิ่งทะนง ขณะเดียวกันก็ไร้เดียงสาประดุจเด็กน้อย เมื่อคิดว่ามนุษย์สามารถสร้างงานอันน่ามหัศจรรย์เช่นนี้ขึ้นมา 

“แต่ผมไม่อาจฟังบ่อยๆ มันมีผลต่อประสาท ผมอยากพูดจาอ่อนหวาน และลูบศีรษะผู้คนที่สร้างสรรค์ความงดงามในโลกโสมม แต่ทุกวันนี้เราลูบศีรษะคนไม่ได้เพราะอาจโดนแว้งกัดที่มือ, พวกเขาต้องโดนตีที่ศีรษะ, ตีโดยปราศจากเมตตา, แม้ว่าเราจะมีอุดมการณ์ต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน ช่างเป็นภารกิจที่ยากเย็นอย่างร้ายกาจเสียจริง!” 


วลาดิมีร์ เลนิน
Vladimir Ilyich Lenin (1870 - 1924)

เลนินกล่าวคำพูดนี้กับกอร์กี้ในค่ำวันหนึ่งระหว่างฟังโซนาต้าของลุดวิก ฟาน เบโธเฟน(1770-1827) ประพันธกรชาวเยอรมัน บรรเลงโดย อิไซ โดโบรวีน ส่วน Appassionata ที่เลนินอ้างถึงคือ “เปียโน โซนาต้า หมายเลข 23” ซึ่งเบโธเฟนประพันธ์ขึ้นช่วงปี 1804-1806 และได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 สุดยอดเปียโน โซนาต้า ในช่วงกลางของชีวิตนักประพันธ์ดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ 


ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน
Ludwig Van Beethoven

เรื่องราวในหนังเยอรมัน The Lives of Others (Das Leben der Anderen) เจ้าของรางวัลออสการ์หนังภาษาต่างประเทศหนล่าสุด ของผู้กำกับฯ ฟลอเรียน เฮนเกล ฟอน โดนเนอร์สมาร์ค ที่ใช้ฉากเยอรมนีตะวันออก ปี 1984 หรือ 5 ปีก่อนการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน มีจุดเริ่มแห่งแรงบันดาลใจมาจากคำพูดข้างต้น โดยนำมาดัดแปลงแทรกไว้ในบทสนทนาของตัวละคร 

ตัวละคร เกอ็อก เดรย์มาน นักประพันธ์บทละครหนุ่มใหญ่กล่าวกับแฟนสาวนักแสดง คริสต้า-มาเรีย ซีแลนด์ หลังจากเล่นเปียโนเพลง “โซนาต้าแด่ผู้แสนดี” (Sonata for a good man) จากแผ่นโน้ตที่เพื่อนผู้กำกับละครที่เพิ่งปลิดชีวิตตนเองมอบให้เป็นของขวัญวันเกิด ว่า “เลนินเคยกล่าวถึง Appassionata ว่าหากยังขืนฟังต่อไป จะปฏิวัติไม่สำเร็จ” 

แม้คำพูดจะผิดเพี้ยนไป แต่นัยยะที่โดนเนอร์สมาร์คดึงมาเพื่อต้องการสื่อคือ ศิลปะดนตรีสามารถเปลี่ยนความแข็งกระด้างในจิตใจคน โดยในฉากดังกล่าวผู้ที่เฝ้าฟังเหตุการณ์นี้ตั้งแต่เสียงเพลงเปียโนมาจนถึงคำกล่าวเกี่ยวกับเลนิน คือ แกร์ด วีสเลอร์ ตำรวจลับจากหน่วยสตาซีที่ได้รับมอบหมายให้มาสอดแนมเดรย์มาน หลังจากสงสัยว่าฝักใฝ่ตะวันตก 

วีสเลอร์เป็นตำรวจลับซึ่งรับใช้พรรคคอมมิวนิสต์อย่างเคร่งครัดและซื่อตรงเสมอมา มีหน้าที่หลักคือจัดการผู้ไม่ภักดีต่อรัฐ แต่ภารกิจครั้งล่าสุดนั้นต่างออกไป หลังจากเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมในที่พักของเดรย์มานแล้ว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่สังเกตความเคลื่อนไหวและลอบฟังเสียงสนทนาของสามี-ภรรยา กระทั่งได้รู้ว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอยู่นี้มีเบื้องหลังไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวของรัฐมนตรีที่คิดจะกำจัดเดรย์มานให้พ้นทางเพื่อครอบครองซีแลนด์ ขณะเดียวกัน หัวหน้าของวีสเลอร์ก็หวังว่างานนี้จะส่งให้เป็นใหญ่เป็นโตในพรรคคอมมิวนิสต์ 


เมื่อภารกิจของชาติเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา ทัศนคติเที่ยงตรงของวีสเลอร์จึงโอนอ่อนผ่อนคลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเหยื่อของความเลวร้ายนี้คือนักแสดงสาวสวยอย่างซีแลนด์ กำแพงในใจตำรวจลับผู้หนึ่งจึงค่อยๆ ทลายลง 

เสียงเพลงบรรเลงเปียโนอันไพเราะโดยเดรย์มานที่วีสเลอร์ได้ยินผ่านอุปกรณ์ดักฟัง ก็เปรียบได้กับเปียโน โซนาต้า หมายเลข 23 ของเบโธเฟน ที่แม้แต่นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่อย่างเลนินยังยอมรับว่ามีอานุภาพเปลี่ยนแปลงเขาได้ 


Appassionata - Manuscript Page


นอกจากเปียโน โซนาต้า ของเบโธเฟน ที่หนังนำมาใช้เป็นจุดเปลี่ยนของตัวละครแล้ว งานศิลปะอีกชิ้นหนึ่งที่ปรากฏในหนังคือ บทประพันธ์ของ แบร์ทอลท์ เบรคชท์(1898-1956) นักการละครและกวีชาวเยอรมัน 

บทประพันธ์ของเบรคชท์เป็นของขวัญที่มีผู้มอบให้แก่เดรย์มาน ก่อนที่วีสเลอร์จะ “ยืม” มาอ่านระหว่างปฏิบัติภารกิจ มีฉากหนึ่งที่สามี-ภรรยากำลังตกอยู่ในความทุกข์ตรม ภาพตัดสลับกับวีสเลอร์ที่อ่านบทประพันธ์ของเบรคชท์ด้วยอาการสะเทือนใจ 

ใครจะรู้ว่าเขาสะเทือนใจกับเรื่องราวในหนังสือ หรือกับสถานการณ์ของเป้าหมายที่เขาสอดแนมอยู่... 


แบร์ทอลท์ เบรคชท์
Bertolt Brecht (1898-1956)

สำหรับแบร์ทอลท์ เบรคชท์ เป็นนักเขียนบท-กำกับละครที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ทศวรรษ 20 แต่เพราะเขามีประวัติให้การสนับสนุนขบวนการสังคมนิยมในเยอรมนี ทั้งยังศึกษาปรัชญามาร์กซิสต์ เมื่อรัฐบาลนาซีนำโดยฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจในปี 1933 พวกคอมมิวนิสต์กับสังคมนิยมเป็นกลุ่มศัตรูที่ต้องโดนกำจัด เบรคชท์กับภรรยานักแสดงสาวจึงต้องลี้ภัยออกจากเยอรมนีไปพักอาศัยในหลายประเทศ 

ประวัติของเบรคชท์ที่มาคลับคล้ายกับเรื่องราวในหนังเกิดขึ้นเมื่อเขาลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกา และได้ทำงานเกี่ยวข้องกับฮอลลีวู้ด กระทั่งถูก “คณะกรรมการตรวจสอบพฤติกรรมไม่เป็นอเมริกัน” ที่ตั้งขึ้นเพื่อ “จับคอมมิวนิสต์” โดยเฉพาะ เรียกตัวไปเป็นสอบว่าเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์หรือไม่ 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 1947 เขาคือหนึ่งใน 11 บุคคลในแวดวงฮอลลีวู้ดที่ถูกเรียกแต่ปฏิเสธที่จะให้ปากคำต่อหน้าคณะกรรมการ แต่ภายหลังเบรคชท์เปลี่ยนใจเพียงคนเดียว เขาเข้าให้ปากคำและรอดพ้นข้อกล่าวหามาได้ ส่วน 10 คนที่เหลือถูกคุมขังชั่วคราวและขึ้นบัญชีดำ และต่อมาได้รับขนานนามว่า Hollywood Ten 

นอกจากอาชีพนักเขียนบทละคร ทั้งยังมีภรรยาเป็นนักแสดง(ในละครตนเอง) เหมือนกันแล้ว เห็นได้ว่าวิบากกรรมของเบรคชท์กับเดรย์มานสอดคล้องกัน เพียงแต่มีวาระที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ฝ่ายแรกถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ฝ่ายหลังถูกสงสัยว่าฝักใฝ่โลกเสรี 

การที่วีสเลอร์อ่านบทประพันธ์ของเบรคชท์ จึงอาจจะมีนัยยะของผู้ตกเป็นเหยื่อความแตกต่างและหวาดระแวงทางการเมือง ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใดก็ล้วนแต่ถูกกระทำในรูปรอยเดียวกัน และทำให้วีสเลอร์เห็นใจเดรย์มานมากยิ่งขึ้น 


ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน
Ludwig Van Beethoven

เบโธเฟนประพันธ์ดนตรีต่อไปทั้งที่หูพิการ เบรคชท์ทุ่มเทให้กับการละครแม้ว่าต้องเป็นผู้ลี้ภัยตลอดเวลาร่วมครึ่งชีวิต แล้วตัวละครเดรย์มานกับซีแลนด์เลือกทำเช่นใด ศิลปะจะดำรงอยู่ได้หรือไม่ในวันที่เงื่อนไขชีวิตไม่เอื้ออำนวย นี่คือคำถามที่หนังได้ตั้งไว้ โดยมี เยอร์สกา เพื่อนผู้กำกับละครของเดรย์มานที่ถูกทางการหมายหัวจนไม่ได้ทำงานอีกเป็นตัวอย่างของคำตอบในด้านลบ 



สำหรับวีสเลอร์แม้จะเป็นตำรวจลับผู้เคร่งขรึมไร้อารมณ์ แต่นั่นเป็นเพียงบทบาทตามหน้าที่ที่ต้องมีความเลือดเย็นและเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม การที่เขาลึกซึ้งกับบทเพลงและวรรณกรรมแสดงว่าเขามีพื้นที่ในจิตใจให้กับงานศิลปะ และก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีสถานะของศิลปิน เพราะเมื่อวีสเลอร์เริ่มเห็นใจเป้าหมาย การกระทำของเขาไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้สิ่งใดเกิดหรือไม่เกิดขึ้น หรือการแต่งเรื่องขึ้นเองในรายงานการสอดแนมนั้น ไม่ได้ต่างจากหน้าที่ของผู้กำกับละครและนักประพันธ์เลย 

แม้ The Lives of Others เป็นหนังว่าด้วยเหตุการณ์ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองในอดีต แต่ก็ห้อมล้อมไปด้วยเรื่องราวของศิลปิน มีงานศิลป์เป็นองค์ประกอบหลัก และตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของศิลปะ 

ขณะที่ตัวหนังเองก็เป็นงานศิลปะที่น่าประทับใจ 

10:19

“เงาสะท้อนในน้ำ” ไฟร์ไซด์ซีอีเอสสำหรับคนหนุ่มสาว • 1 พฤศจิกายน 2009 • มหาวิยาลัยบริคัม ยังก์


พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ถ้าเรานำเพลงสวดทั้งสองเพลงที่เราเพิ่งได้ยิน—“สรรเสริญพระเจ้า” และ “ทำแต่ความดี”—มาเป็นคติพจน์ในชีวิต เราจะกลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์ได้อย่างราบรื่น พวกท่านช่างดูสวยงามเหลือเกิน! ในมโนภาพ ข้าพเจ้านึกถึงใบหน้าที่สวยงามเช่นพวกท่านอีกมากมาย—สมาชิกหนุ่มสาวของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายในทุกประเทศทั่วโลก ท่านอาจดูไม่เหมือนกันเลยทีเดียว แต่ท่านมีหลายอย่างที่เหมือนกัน ข้าพเจ้าคิดว่านี่คืองานมอบหมายที่ยอดเยี่ยม และข้าพเจ้าขอบคุณประธานมอนสันที่ให้โอกาสข้าพเจ้าได้พูดกับท่านสักเล็กน้อย


ลูกเป็ดขี้เหร่

หนึ่งในบรรดานักเล่านิทานซึ่งเป็นที่ชื่นชอบที่สุดตลอดมาคือนักเขียนชาวเดนมาร์ก ฮานส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ็น ในนิทานเรื่องหนึ่งของเขาชื่อ “ลูกเป็ดขี้เหร่” แม่เป็ดตัวหนึ่งพบว่าลูกเป็ดที่เพิ่งฟักออกมาตัวใหญ่ผิดปกติและน่าเกลียดมาก ตอนแรกแม่เป็ดสงสัยว่ามันฟักไข่ไก่งวง แต่ลูกเป็ดขี้เหร่ว่ายน้ำได้พอๆ กับลูกเป็ดตัวอื่นๆ แม่เป็ดจึงสรุปว่าลูกเป็ดที่น่าสงสารนั้นพียงแต่ผิดปกติและผิดรูปผิดร่าง

แต่ลูกเป็ดตัวอื่นๆ มักจะมายุ่งกับลูกเป็ดขี้เหร่ ลงโทษอย่างไม่ปรานี ทั้งจิกทั้งแกล้งและทำให้เสียใจ จนในที่สุดลูกเป็ดน้อยจึงตัดสินใจว่าคงจะดีกว่าสำหรับทุกคนถ้ามันไปจากครอบครัวเสีย มันจึงหนีไป ช่วงฤดูหนาวอันหนาวเหน็บครั้งแรกในชีวิตลำพัง เป็ดน้อยที่น่าสงสารแทบจะแข็งตายแต่ยังอยู่รอดมาได้ แม้ในความแร้นแค้นมันกลับรู้สึกแข็งแรงขึ้น และชอบกางปีกออกบินแม้จะอยู่ตัวเดียวก็ตาม

แล้ววันหนึ่ง มันแหงนขึ้นไปเห็นฝูงนกที่สง่างามบินผ่านไป สีขาวดุจหิมะ ท่วงท่างดงาม คองามระหง และปีกกว้างองอาจ โอ้ช่างเป็นสัตว์ที่สวยงามและมีความสุขอะไรเช่นนี้! ลูกเป็ดขี้เหร่อยากบินไปกับนกพวกนั้น แต่กลัวจะถูกนกฆ่าเพราะตัวมันน่าเกลียดเหลือเกิน แต่แล้วมันก็ตัดสินใจว่าคงจะดีกว่าถูกสัตว์ตัวอื่นๆ จิกไปตลอดหรือแข็งตายในหน้าหนาว มันจึงออกบินตามนกเหล่านั้นไปหยุดบนผืนน้ำในทะเลสาบสวยงามแห่งหนึ่ง

ขณะบินลงมา ลูกเป็ดขี้เหร่มองลงไปในน้ำเห็นเงาสะท้อนของหงส์ที่งดงามตัวหนึ่ง จากที่ไม่เชื่อสายตาตัวเองในตอนแรก ลูกเป็ดขี้เหร่ค่อยๆ เข้าใจว่าเงาสะท้อนนั้นคือเงามันเอง! มันประหลาดใจที่หงส์ตัวอื่นๆ ต่างต้อนรับและถึงขนาดลงความเห็นว่ามันสวยงามที่สุด สง่าสงามที่สุดในบรรดาหงส์ทั้งหมด ในที่สุด มันก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร

คำถามสำคัญ



เช่นเดียวกับหงส์น้อยตัวนี้ เราส่วนใหญ่เคยรู้สึกว่าบางครั้งเราเข้ากับผู้อื่นไม่ได้ ความสับสนที่เราประสบในชีวิตนี้หลายอย่างเกิดขึ้นเพียงเพราะเราไม่เข้าใจว่าเราคือใคร คนจำนวนมากอยู่ไปโดยคิดว่าตนเองมีค่าเพียงน้อยนิด ขณะที่ความจริงแล้วพวกเขางดงามและเป็นนิรันดร์ เป็นงานสร้างอันทรงคุณค่าไม่มีที่สิ้นสุดที่มีศักยภาพเกินกว่าจะจินตนาการได้

การค้นพบว่าแท้จริงเราคือใคร เป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า ชีวิต นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของโลกต่างดิ้นรนค้นหาคำตอบของคำถามเหล่านี้อย่างไม่ลดละ เรามาจากไหน เหตุใดเราจึงอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นหลังจากเราเสียชีวิต และทั้งหมดนี้จะสอดคล้องกันอย่างไร—จะเข้าใจได้ว่าอย่างไร

เมื่อไรที่เราเริ่มเข้าใจคำตอบของคำถามเหล่านี้—มิใช่ด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยใจและจิตวิญญาณด้วย—เราจะเริ่มเข้าใจว่าเราคือใครและรู้สึกเหมือนคนหลงทางที่พบบ้านตนเอง เราจะรู้สึกเหมือนหงส์หนุ่มซึ่งท้ายที่สุดค้นพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอะไร ทุกอย่างเข้าใจได้ในที่สุด

ปัญหาก็คือคำตอบของคำถามเหล่านี้สุดวิสัยทางโลกที่มนุษย์จะตัดสินด้วยเหตุผล คำถามเกี่ยวกับเรื่องทางวิญญาณต้องการคำตอบทางวิญญาณ ผู้ที่ไม่ยอมรับการเปิดเผยและยืนกรานให้มีหลักฐานที่แน่ชัด ทำได้แต่เพียงคาดเดาหรือปฏิเสธว่ามีชีวิตก่อนหรือหลังชีวิตในโลกนี้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีวันเข้าใจว่าแท้จริงแล้วตนคือใครหรือจุดประสงค์ที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร

แต่ในฐานะสมาชิกศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย เราได้รับคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ และเราแบ่งปันอย่างเต็มที่ให้ทุกคนที่จะรับฟัง เราไม่ได้รู้คำตอบจากการคาดเดาของผู้มีความรู้หรือเพราะเราพบคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ เรารู้คำตอบเพราะผู้ส่งสารจากสวรรค์เปิดเผยความลับลึกแก่มนุษย์ ความรู้เดียวกันนี้มีให้ทุกคนผู้มีใจซื่อสัตย์ซึ่งอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ โดยผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ตลอดประวัติศาสตร์ จักรพรรดิ์และนักปรัชญาทั้งหลายจะเสนอสมบัติล้ำค่าในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานอย่างเผื่อแผ่ในยุคของเรา เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาและทรงรักลูกๆ ของพระองค์ จึงประทานความจริงอีกครั้งในยุคสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่อง เรามาจากไหน เหตุใดเราจึงอยู่ที่นี่ และเราจะไปที่ใด

เพื่อนหนุ่มสาวที่รักของข้าพเจ้า ความรู้นี้ทำให้ท่านมองเห็นเงาสะท้อนในน้ำของท่านเอง ให้ความมั่นใจว่าท่านไม่ธรรมดา ไม่ถูกปฏิเสธ หรือไม่ขี้เหร่ ท่านเป็นสิ่งที่สูงส่ง—งดงามและล้ำเลิศเกินกว่าท่านจะจินตนาการได้ ความรู้นี้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง เปลี่ยนปัจจุบันของท่าน สามารถเปลี่ยนอนาคตของท่านและเปลี่ยนโลกได้

เพื่อนหนุ่มสาวที่ล้ำค่าของข้าพเจ้าในศาสนจักร ไม่ว่าท่านจะอยู่แห่งหนใด เรารู้ดีว่าท่านต้องเผชิญสิ่งท้าทายมากมายในชีวิตหนุ่มสาวของท่าน จากการพูดคุยกับผู้นำของท่านและพบปะท่านเป็นการส่วนตัว ข้าพเจ้าทราบถึงขอบเขตปัญหาของท่าน ข้าพเจ้าเลือกคำถามที่มีคนถามมาสองสามข้อ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่ายากและเป็นปัญหามากกว่าข้ออื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพวกท่านวิสุทธิชนหนุ่มสาวทั่วโลก วันนี้ ข้าพเจ้าหวังให้ท่านเข้าใจในความคิดและจิตใจว่าความรู้ในเรื่องแท้จริงแล้วท่านคือใครจะช่วยท่านเอาชนะปัญหายากที่สุดในชีวิตสำเร็จได้อย่างไร

จะอยู่หรือตาย



นี่คือคำถามแรก “ฉันไม่มีความสุขและซึมเศร้า บางครั้งดูเหมือนว่าโลกนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นถ้าไม่มีฉัน ฉันจะอยู่ต่อไปทำไม”

ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่า ความซึมเศร้าอย่างรุนแรงและความคิดฆ่าตัวตายมิใช่เรื่องเล็กและควรเอาใจใส่อย่างจริงจัง ข้าพเจ้าขอให้ผู้ที่ทนทุกข์จากโรคซึมเศร้าหรือมีความคิดฆ่าตัวตายแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือและผู้นำศาสนจักร หากท่านรู้จักคนที่คิดฆ่าตัวตาย จงเป็นเพื่อนแท้และช่วยให้เขาได้รับความช่วยเหลือ โปรดจงรู้ว่าเรารักท่านและปรารถนาให้ท่านประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิต

ดังที่กล่าวมาเช่นนั้น คนส่วนใหญ่เคยรู้สึกเศร้าหรือไม่ดีพอไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะมีช่วงเวลาที่สงสัยในตนเองหรือไม่มีความสุข คำถามที่ว่า “ฉันจะอยู่ต่อไปทำไม” เป็นเพียงอีกวิธีพูดหนึ่งของวลีโบราณที่เขียนโดยวิลเลียม เชกสเปียร์เมื่อ 400 ปีที่แล้ว และพูดโดยแฮมเล็ตหลายล้านคนทั่วโลกนับแต่บัดนั้น “จะอยู่หรือตาย นั่นคือปัญหา”1

แต่เชกสเปียร์คิดผิด “จะอยู่หรือตาย” มิใช่ ปัญหาแต่ประการใด มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากสิ่งตรงกันข้ามสองอย่างนั้น ในแบบของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้แฮมเล็ตหันไปหาผู้ชมและพูดว่า “โดยที่รู้ว่าข้าเป็นบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า สิ่งใดเล่าที่ข้าต้อง ทำ และต้อง เป็น เพื่อดำเนินชีวิตให้ถึงศักยภาพนี้ นั่นคือปัญหา” ข้าพเจ้าเข้าใจว่าการแก้บทพูดเช่นนั้นคงจะทำลายวรรณกรรมชิ้นเอกที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของทุกสมัยอย่างไม่มีชิ้นดี แต่ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้เขียนบทให้ ท่าน นั่นคือวิธีที่ข้าพเจ้าจะเขียน

ลองนึกถึงว่าท่านมาจากไหน ท่านคือบุตรธิดาของสัตภาวะที่ทรงฤทธานุภาพที่สุด ล้ำเลิศที่สุดในจักรวาล พระองค์ทรงรักท่านด้วยความรักอันไม่มีที่สิ้นสุด ทรงต้องการให้ท่านได้สิ่งที่ดีที่สุด ท่านคิดหรือว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงอยากให้ท่านรู้สึกซึมเศร้าและเศร้าโศก ทรงไม่ต้องการเช่นนั้น พระองค์ประทานพระบัญญัติซึ่งเป็นถนนอันราบรื่นไปสู่ชีวิตที่มีจุดประสงค์ สันติสุข และปีติ สิ่งที่เราต้องทำคือดำเนินตามนั้น การรู้และดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้านำไปสู่ความบริบูรณ์และความปีติยินดีอย่างแท้จริง

จุดหมายปลายทางของเรายิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ หากเราเพียงเข้าใจว่าเราคือใครและมีสิ่งใดที่รอเราอยู่ข้างหน้า ใจเราจะท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกขอบคุณและความสุขจนแม้แต่ความเศร้าโศกที่หม่นหมองที่สุดก็จะสว่างขึ้นด้วยความสว่างและความรักจากพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ของเรา ครั้งต่อไปที่ท่านเป็นทุกข์ จงจำไว้ว่าท่านมาจากไหนและท่านจะไปที่ใด แทนที่จะมุ่งความสนใจไปในสิ่งที่ทำให้จิตหดหู่ด้วยความเศร้า จงเลือกมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่เติมจิตวิญญาณท่านด้วยความหวัง ท่านจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มักจะเกี่ยวข้องกับการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ อย่าลืมว่าพระเจ้าประทานพระคำของพระองค์ไว้ในพระคัมภีร์ จงสวดอ้อนวอนพระองค์ด้วยความตั้งใจจริง สนทนากับพระองค์ทุกวัน เรียนรู้จากพระองค์และเดินในทางพระองค์ รับใช้พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์

พึงระลึกว่ามี “วาระร้องไห้” แต่ก็มี “วาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์และวาระเต้นรำ” (ปัญญาจารย์ 3:4) หากท่านมีใจที่หนักอึ้งมาสักระยะหนึ่งแล้ว บางทีอาจถึงเวลาที่จะยอมให้ความสว่างของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้าส่องในใจท่าน ข้าพเจ้าวิงวอนท่าน—ให้เพียงมองลงไปในน้ำดูเงาสะท้อนที่แท้จริงของตนเอง! จงตระหนักถึงจุดประสงค์ที่สร้างท่านขึ้นมา! เงยหน้าท่านขึ้นสู่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น!

เป็นเรื่องดีที่ท่านจะหัวเราะ! เป็นเรื่องดีที่ท่านจะมีความสุข! จงเปล่งเสียงของท่านและ “สรรเสริญพระเจ้าด้วยการร้องเพลง, ด้วยดนตรี, ด้วยการเต้นรำ, และด้วยคำสวดอ้อนวอนอันเป็นการสรรเสริญและการน้อมขอบพระทัย” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 136:28)

ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าสวรรค์จะเต็มไปด้วยสัตภาวะที่มืดมนผู้ไม่เคยเอ่ยความรู้สึกหรือไม่ชื่นชอบดนตรีและการเยี่ยมเยียนกัน นั่นไม่ใช่สวรรค์สำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตตลอดวันเวลาอยู่ในความกังวลและความสิ้นหวังอย่างโดดเดี่ยว ท่านได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อจะมีปีติ (ดู 2 นีไฟ 2:25) ดังนั้น ขอให้เราสรรเสริญพรอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาจากพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยปีติและความรัก!

ท่านไม่ต้องรอคำอนุญาตให้ใจท่านเต็มไปด้วยความขอบพระทัยและความสุข ท่านทำได้ดีด้วยตนเอง จงรวมตัวกันในฐานะคนหนุ่มสาว—ในวอร์ดหรือสาขาของท่าน ทั้งในสเตคกับท้องถิ่นใกล้เคียงด้วย เต้นรำด้วยกัน เรียนพระกิตติคุณด้วยกัน ทำงานด้วยกัน รับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน—และสนุกกับการทำสิ่งเหล่านั้น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนอย่างจริงจังขอให้ความรู้ถึงสิ่งที่ท่านเป็นและสิ่งที่ท่านจะเป็นได้มาเติมจิตวิญญาณของท่านด้วยความรักอันมีสันติสุขของพระผู้เป็นเจ้า และขอให้สิ่งนี้จุดประกายความสุขอันสมควรแก่การเป็นมรดกที่แท้จริงของท่าน เพราะแท้จริงแล้วท่านคือราชบุตรและราชธิดา กษัตริย์และราชินีนั่นเอง
ฉันจะได้พบเนื้อคู่ของฉันไหม

คำถามที่สองซึ่งเราได้ยินจากท่านที่เป็นคนหนุ่มสาวคือ “ฉันเหงาเหลือเกิน ฉันจะได้พบเนื้อคู่ของฉันไหม” ข้าพเจ้ามีหลายสิ่งที่อยากจะพูดในเรื่องนี้ แต่เราจะเริ่มด้วยหลักการค้นหาคนที่ท่านควรจะอยู่ด้วย—คนที่เพียบพร้อมสำหรับท่าน

มีเรื่องเล่าเมื่อนานมาแล้วเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ขุดค้นแหล่งโบราณคดีผู้ค้นพบตะเกียงแบบโบราณ เมื่อเธอขัดตะเกียง ภูตก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสนอพรให้เธอหนึ่งประการ เธอคิดสักครู่และขอให้โลกสงบสุข—ให้ผู้คนรักกันและสามัคคีกันตลอดไป

ภูตใคร่ครวญคำขอนั้นและในที่สุดก็พูดว่า “สิ่งที่เธอขอเป็นไปไม่ได้หรอก การแบ่งแยกในบรรดาผู้คนบนโลกนี้หยั่งลึกมานานเกินไป โปรดขออย่างอื่นเถิด ยกเว้นข้อนั้น”

หญิงสาวจึงคิดอีกครั้งและบอกว่า “ที่ใดสักแห่ง มีคนคนหนึ่งที่ฉันควรจะอยู่ด้วย ฉันอยากเจอเขา—คนที่หน้าตาดี เอาใจใส่ และมีอารมณ์ขัน คนที่จะช่วยงานบ้าน รักเด็ก ไม่ดูกีฬาตลอดเวลา มีหน้าที่การงานดี และคิดถึงความสุขของฉันก่อน คนที่จะไปเดินซื้อของกับฉันและเข้ากับครอบครัวฉันได้”

ภูตใคร่ครวญคำขอนั้นสักครู่ ถอนหายใจอย่างแรง แล้วตอบว่า “ฉันจะลองดูว่าทำอะไรได้บ้างให้โลกสงบสุขก็แล้วกัน”

ข้าพเจ้ารู้ว่าเรื่องนี้อาจน่าผิดหวังสำหรับบางท่าน แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ใช่เพียงคนเดียวสำหรับท่าน ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าหลงรักแฮร์เรียตภรรยาข้าพเจ้าตั้งแต่แรกพบ แต่ถ้าหากเธอตัดสินใจแต่งงานกับคนอื่น ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าจะได้เจอและตกหลุมรักคนอื่นอีก ข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณอย่างไม่สิ้นสุดที่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าเธอเป็นโอกาสเดียวของความสุขในชีวิตนี้ของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับเธอเช่นกัน

ความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เมื่อท่านออกเดทคือ การคาดหวังความสมบูรณ์แบบจากคนที่ท่านออกเดทด้วย ความจริงก็คือ คนที่สมบูรณ์แบบที่ท่านรู้จักก็คือคนที่ท่านไม่รู้จักดีพอ ทุกคนล้วนมีข้อบกพร่อง ข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้ท่านลดมาตรฐานและแต่งงานกับคนที่จะทำให้ท่านไม่มีความสุข แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าตระหนักเมื่อข้าพเจ้าเติบใหญ่ในชีวิตคือ หากมีใครเต็มใจยอมรับ ข้าพเจ้า—ที่ข้าพเจ้ามีข้อบกพร่องเช่นนี้—ข้าพเจ้าก็ควรเต็มใจอดทนกับข้อบกพร่องของผู้อื่นด้วย เพราะท่านจะไม่พบความเพียบพร้อมในคู่ครองของท่าน และคู่ครองของท่านก็จะไม่พบในตัวท่านเช่นกัน หนทางเดียวของความสมบูรณ์แบบอยู่ที่การสร้างความสมบูรณ์แบบด้วยกัน

มีคนที่ไม่แต่งงานเพราะรู้สึกขาด “มนตร์วิเศษ” ในสัมพันธภาพ คำว่า “มนตร์วิเศษ” ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเขาหมายถึงประกายเสน่ห์ การตกหลุมรักเป็นความรู้สึกที่วิเศษ และข้าพเจ้าจะไม่แนะนำให้ท่านแต่งงานกับคนที่ท่านไม่รัก แต่กระนั้น—มีอีกอย่างหนึ่งซึ่งบางครั้งยอมรับได้ยาก—นั่นคือประกายของมนตร์วิเศษต้องมีการขัดเงาอยู่เสมอ เมื่อมนตร์วิเศษยั่งยืนอยู่ในความสัมพันธ์ นั่นเป็นเพราะคู่สามีภรรยาทำให้เกิดขึ้น มิได้เกิดขึ้นอย่างลี้ลับเพราะพลังวิเศษบางอย่าง

พูดตรงๆ ก็คือต้องใช้ความพยายาม เพื่อให้สัมพันธภาพไปตลอดรอดฝั่ง ทั้งสองฝ่ายต้องเอามนตร์วิเศษมาใช้ประคองความรัก แม้ข้าพเจ้าจะพูดไปแล้วว่าไม่เชื่อเรื่องเนื้อคู่เพียงคนเดียวสำหรับคนใดก็ตาม แต่ข้าพเจ้ารู้ว่า เมื่อใดที่ท่านให้คำมั่นสัญญาในการแต่งงาน คู่ครองของท่านจะเป็นเนื้อคู่ของท่าน และเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่ท่านต้องพยายามทุกวันให้ยังคงเป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่ท่านให้คำมั่นสัญญาไปแล้ว การค้นหาเนื้อคู่ก็จบลง ความคิดและการกระทำของเราเปลี่ยนจากการ มองหา มาเป็น การสร้าง

แล้วผู้ที่หมดหวังในเรื่องการหาคู่นิรันดร์เล่า ประการแรก อย่าล้มเลิกความตั้งใจ ไปกิจกรรมต่างๆ พบปะผู้คน และทำสุดความสามารถ ข้าพเจ้ารู้ว่าการออกเดทอาจเป็นเรื่องยาก การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องเจ็บปวดที่สุดเรื่องหนึ่งที่เราเจอได้ เชื่อข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าหลงรักแฮร์เรียตมานานก่อนที่เธอจะหันมารักข้าพเจ้าเสียอีก

แต่เรื่องนี้ไม่ได้ขัดขวางข้าพเจ้า—ไม่เลย ข้าพเจ้าหาทางไปอยู่ในที่เดียวกันกับเธอ เมื่อข้าพเจ้าส่งผ่านศีลระลึกที่โบสถ์ ข้าพเจ้าจัดการให้ได้ส่งผ่านให้ครอบครัวเธอ ข้าพเจ้าทำสุดความสามารถเพื่อให้เธอประทับใจ แต่คิดว่าเธอมองข้าพเจ้าไม่ค่อยโตนิดหน่อย เธอเพียงแต่ไม่ได้รู้สึกถึงมนตร์วิเศษ ข้าพเจ้าหมดหวังที่จะทำให้เธอเชื่อว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างอื่นได้มากกว่าเพื่อนคนหนึ่ง

ข้าพเจ้าจึงหนีไปประจำการกองทัพอากาศ แล้วเดินทางไกลครึ่งค่อนโลกเพื่อฝึกเป็นนักบินในสหรัฐ จนกระทั่งข้าพเจ้ากลับไปเยอรมนีหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกเป็นนักบินรบ—หลายปีนับตั้งแต่พบเธอครั้งแรก—หญิงสาวงดงามคนนี้ถึงมองข้าพเจ้าและกล่าวประโยควิเศษที่ข้าพเจ้าอยากได้ยินมานานว่า “คุณเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะ ตั้งแต่คราวที่แล้วที่ฉันเจอคุณ”

ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติการอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น ภายในไม่กี่เดือนข้าพเจ้าก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ข้าพเจ้ารักมานานแสนนาน

ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย อย่าล้มเลิกความตั้งใจเพียงเพราะท่านถูกปฏิเสธครั้งสองครั้ง—หรือสามสี่ครั้งหรือเป็นร้อยๆ ครั้ง—อย่าหมดหวัง พี่น้องชายทั้งหลาย เคล็ดลับในการหาหญิงสาวในฝันของท่านคือทำความรู้จักหญิงสาวหลายๆ คน แล้วเมื่อใดที่ท่านตกหลุมรักและรู้สึกว่าใช่ จงขอเธอแต่งงาน หากเธอปฏิเสธ จงค้นหาต่อไปและสวดอ้อนวอนจนกว่าท่านจะไปถึงแท่นพระวิหารกับหญิงสาวคนนั้นในที่สุด ขอเพียงอย่ายอมแพ้

พี่น้องสตรีทั้งหลาย จงอ่อนโยน ไม่เป็นไรถ้าท่านจะปฏิเสธคำขอออกเดทหรือคำขอแต่งงาน แต่โปรดกระทำอย่างนุ่มนวล และพี่น้องชายทั้งหลาย จงเริ่มขอได้แล้ว! มีหญิงสาวของเรามากมายเหลือเกินที่ยังไม่เคยออกเดท อย่าคิดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางไปเดทกับคุณแน่ บางครั้งพวกเธอกำลังสงสัยว่าทำไมจึงไม่มีใครชวนเธอ เพียงแต่ขอและเตรียมเดินหน้าต่อไปถ้าคำตอบคือไม่ 

ความนิยมอย่างหนึ่งที่เราเห็นในพื้นที่บางส่วนของโลกคือคนหนุ่มสาวของเราเพียงแต่ “เที่ยวกับเพื่อน” เป็นกลุ่มใหญ่แทนที่จะออกเดท ขณะที่ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรวมกลุ่มกับคนวัยเดียวกันบ่อยๆ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านจะได้รู้จักกันจริงๆ หรือไม่เมื่ออยู่กันเป็นกลุ่มตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องเรียนรู้คือวิธีพูดคุยกับเพศตรงข้าม วิธีเรียนรู้ที่ดีคือการอยู่ตามลำพังกับใครสักคน—พูดคุยแบบไม่ปิดกั้นตนเองก็ว่าได้

การออกเดทไม่ต้อง—และในกรณีส่วนใหญ่ไม่ควร—มีค่าใช้จ่ายสูงและวางแผนเยอะเกินไป เมื่อข้าพเจ้ากับภรรยาย้ายจากเยอรมนีมาซอลท์เลคซิตี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแปลกใจที่สุดคือกระบวนการที่ซับซ้อนและตึงเครียดซึ่งคนหนุ่มสาวสร้างขึ้นในการขอเดทและการตอบรับ 

ทำตัวตามสบาย หาวิธีง่ายๆ ในการอยู่ด้วยกัน วิธีหนึ่งที่ข้าพเจ้าชอบใช้สมัยหนุ่มเมื่อหาคนเดทด้วยคือการเดินไปส่งหญิงสาวที่บ้านหลังเลิกการประชุมของศาสนจักร จงจำไว้ว่าเป้าหมายไม่ใช่การมีผู้ชมวิดีโอการออกเดทของท่านบนยูทูปหนึ่งล้านครั้ง เป้าหมายคือการทำความรู้จักคนคนหนึ่งและเรียนรู้วิธีพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับเพศตรงข้าม

ในบรรดาพวกท่านมีสมาชิกหนุ่มสาวที่สวยงามของศาสนจักรที่อาจไม่ได้แต่งงาน แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีค่าควรในทุกๆ ด้าน แต่อาจไม่พบคนที่จะผนึกด้วยในพระวิหารของพระเจ้าในชีวิตนี้ ผู้ไม่เคยประสบความสิ้นหวังนี้จะไม่มีทางเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความเปล่าเปลี่ยวและความเจ็บปวดที่คนเหล่านั้นรู้สึก ข้าพเจ้ารู้จักสตรีหลายคนที่ปรารถนาจะเป็นภรรยาและมารดามากกว่าสิ่งอื่นใด พวกเธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดคำสวดอ้อนวอนของพวกเธอจึงไม่ได้รับคำตอบ และยังมีชายโสดหลายท่านที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ก่อนอื่น ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของท่าน พระองค์ทรงทราบความปรารถนาของใจท่าน ข้าพเจ้าบอกท่านไม่ได้ว่าเหตุใดคำสวดอ้อนวอนของคนหนึ่งจึงได้รับคำตอบแบบหนึ่ง ขณะที่อีกคนได้รับคำตอบต่างออกไป แต่ข้าพเจ้าบอกท่านได้ว่า ความปรารถนาที่ชอบธรรมของใจท่านจะเกิดสัมฤทธิผล

บางครั้ง อาจเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ บนเส้นทางภายหน้าเกิดขึ้นต่อหน้าเราทันที เราใจร้อนและไม่อยากรอสัมฤทธิผลในอนาคตของความปรารถนาอันสูงสุดของเรา ช่วงเวลาสั้นๆ ในชีวิตนี้เทียบไม่ได้เลยกับนิรันดร หากเราเพียงสามารถมีความหวัง ใช้ศรัทธา และอดทนอย่างมีความสุขจนกว่าชีวิตจะหาไม่—ข้าพเจ้าพูดว่าอดทน อย่างมีความสุขจนกว่าชีวิตจะหาไม่—ในชีวิตนี้ ในอนาคตบนสวรรค์อันยิ่งใหญ่นั้น เราจะสมหวังในความปรารถนาที่ชอบธรรมของใจเราและอื่นๆ อีกมากมายจนเราแทบจะเข้าใจไม่ได้ในตอนนี้

ในขณะเดียวกัน อย่ารอให้คนอื่นมาทำให้ชีวิตท่านบริบูรณ์ หยุดสงสัยตนเองและคิดว่าตนเองบกพร่องอะไร แต่จงพยายามบรรลุศักยภาพของท่านในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า แสวงหาการเรียนรู้ ทำงานอาชีพที่มีความหมาย และพยายามบรรลุเป้าหมายในการรับใช้ผู้อื่น ใช้เวลาของท่าน พรสวรรค์ของท่าน และทรัพยากรของท่านในการพัฒนาตนเองและเป็นพรให้แก่คนรอบข้าง ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมมีครอบครัวของท่าน จงมุ่งมั่นทำงานในวอร์ดหรือสาขาของท่านและพยายามขยายการเรียก ไม่ว่าการเรียกนั้นคืออะไรก็ตาม

จุดประสงค์สำคัญของการดำรงอยู่ในชีวิตนี้คือการเรียนรู้ที่จะรักพระบิดาบนสวรรค์อย่างสุดใจและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง หากเราทำสิ่งนี้อย่างสุดพลัง สุดความคิด และสุดพละกำลัง จุดหมายปลายทางนิรันดร์ของเราจะรุ่งโรจน์และยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ จงซื่อสัตย์ และทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี นั่นคือคำสัญญานิรันดร์ที่พระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักและเฉลิมพระเกียรติพระองค์ทุกคน

ฉันจะรักษาความซื่อสัตย์ได้หรือ



คำถามที่สามที่คนหนุ่มสาวมีคือ “ฉันจะรักษาความซื่อสัตย์ได้หรือ” มีหลายคนที่สงสัยในพระผู้เป็นเจ้าหรือศาสนจักร คนอื่นๆ ยอมต่อการล่อลวงที่ล่อพวกเขาออกจากความปลอดภัยของทางตรงและแคบในการเป็นสานุศิษย์

สมัยข้าพเจ้าเป็นนักบิน ข้าพเจ้ามักจะเจอปรากฏการณ์ดินฟ้าอากาศที่น่าสนใจขณะบินระหว่างทวีปยุโรปกับแอฟริกา ปรากฏการณ์นั้นเรียกว่าเขตลมค้าพัดเข้าหากัน—กลุ่มพายุฝนฟ้าคะนองที่เคลื่อนตัวไปทางเหนือและใต้ผ่านเส้นศูนย์สูตร ทำให้ขอบฟ้าเต็มไปด้วยแนวเมฆลูกคลื่นที่อันตราย

ข้าพเจ้ามักจะมองเมฆเหล่านี้ด้วยความประทับใจกับความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของมัน เมฆเหล่านั้นก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างดำทะมึนขนาดใหญ่ ภายในกลุ่มเมฆมีฟ้าแลบเป็นประกายโชติช่วงจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่งในลักษณะไฟลุกโชนที่บรรยายไม่ได้ ช่างเป็นภาพที่สวยงามและน่าหลงใหลอะไรเช่นนี้!

แต่ท่านคิดว่านักบินทำอย่างไรเมื่อเข้าใกล้พายุเหล่านี้ พวกเขาหลีกเลี่ยงมัน—ไม่ว่าสิ่งที่เห็นจะสวยงามและดึงดูดเพียงใด เมื่อระดับความชื้นสูงขึ้นในก้อนเมฆ เมฆเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง เกาะตัวเป็นลูกเห็บขนาดเท่าลูกฟุตบอลที่สามารถทะลุโลหะและทำให้เครื่องบินพังได้ ความปั่นป่วนที่รุนแรงและกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาสามารถทำลายเครื่องบินกับระบบได้

หลักการเดียวกันนี้เป็นจริงมิใช่หรือเมื่อท่านเห็นสิ่งที่อาจเป็นอันตรายทางวิญญาณ การล่อลวงจะไม่เป็นการล่อลวงหากมองดูไม่ดึงดูด ไม่น่าหลงใหล หรือไม่น่าสนุก แต่เช่นเดียวกับนักบินที่เข้าใกล้พายุ ท่านต้องเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงการล่อลวง ไม่ว่าการล่อลวงนั้นจะดูสวยงามหรือดึงดูดใจเพียงใด 

เพราะพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักลูกๆ ของพระองค์ จึงประทานพระบัญญัติเพื่อกันเราให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัยจากพายุอันตรายเหล่านั้น พระองค์มิได้ทรงบังคับลูกคนใดให้เดินในทางของพระองค์ ทรงยอมและคาดหวังให้ท่านเลือกเพื่อตนเอง แต่จงรู้ว่าการเลือกบางอย่างนำไปสู่หายนะ ดังนั้นจงเลือกให้ถูกต้อง

ข้าพเจ้าเป็นพยานเพิ่มเติมจากคำเตือนมากมายที่ต่อต้านปัญหาร้ายแรงเรื่องสื่อลามก จงหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ ออกห่างจากสิ่งนี้ คำพูดเดียวกันที่เราใช้อบรมนักบินเมื่อเจอพายุฝนฟ้าคะนองที่ข้าพเจ้าจะใช้พูดกับท่านเกี่ยวกับสื่อลามก นั่นคือ “หลีกเลี่ยง หลีกเลี่ยง หลีกเลี่ยง!”

อย่าคิดว่าท่านจะยื่นจมูกเครื่องบินเข้าไปในพายุได้สักนิด—อย่าล้อเล่นกับสื่อลามก จงจำไว้ว่าสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดและอันตรายที่สุดมักจะดูน่าดึงดูดในตอนแรก หลีกให้ไกลจากสิ่งเหล่านั้นที่จะคุกคามท่านได้

เป็นความจริงหรือไม่


เรื่องต่อไป แล้วข้อสงสัยกับคำถามเล่า ท่านค้นพบว่าพระกิตติคุณเป็นความจริงได้อย่างไร เราสงสัยเกี่ยวกับศาสนจักรหรือหลักคำสอนได้หรือไม่ เพื่อนหนุ่มสาวที่รักของข้าพเจ้า เราเป็นผู้คนที่ชอบถามคำถาม เพราะเรารู้ว่าการถามนำไปสู่ความจริง นี่คือวิธีที่ศาสนจักรเริ่มต้น—จากเด็กหนุ่มผู้มีคำถาม อันที่จริง ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าคนคนหนึ่งจะค้นพบความจริงได้อย่างไรโดยไม่ถามคำถาม ในพระคัมภีร์ ท่านแทบจะไม่พบการเปิดเผยที่ไม่ได้มาจากการตอบคำถาม เมื่อใดก็ตามที่เกิดคำถามและโจเซฟ สมิธไม่แน่ใจในคำตอบ ท่านถามพระเจ้า และผลที่ได้คือการเปิดเผยอันยอดเยี่ยมในหลักคำสอนและพันธสัญญา บ่อยครั้งความรู้ที่โจเซฟได้รับขยายกว้างออกไปเกินกว่าคำถามที่ท่านถาม นั่นเป็นเพราะว่าพระเจ้าไม่เพียงสามารถตอบคำถามของเรา แต่ที่สำคัญกว่านั้น พระองค์สามารถประทานคำตอบแก่คำถามที่เราควรถามด้วย ขอให้เราฟังคำตอบเหล่านั้น

งานเผยแผ่ของศาสนจักรสร้างอยู่บนพื้นฐานของผู้สนใจที่ซื่อสัตย์ผู้ถามคำถามด้วยความจริงใจ การถามเป็นจุดกำเนิดของประจักษ์พยาน 


บางคนอาจรู้สึกอายหรือไม่สมควรเพราะกำลังค้นหาคำถามเกี่ยวกับพระกิตติคุณ แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้น การถามคำถามมิได้ส่อถึงความอ่อนแอ แต่เป็นเครื่องแสดงออกถึงการเติบโต



พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เราแสวงหาคำตอบให้กับคำถามของเรา (ดู ยากอบ 1:5–6) และถามเฉพาะในสิ่งที่เราแสวงหา “ด้วยใจจริง, ด้วยเจตนาแท้จริง, โดยมีศรัทธาในพระคริสต์” (โมโรไน 10:4) เมื่อเราทำเช่นนั้น ความจริงของทุกสิ่งจะแสดงแก่เราได้โดย “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (โมโรไน 10:5)

อย่ากลัว จงถามคำถาม จงอยากรู้อยากเห็น แต่อย่าคลางแคลงใจ! จงยึดมั่นอยู่เสมอในศรัทธาและความสว่างที่ท่านได้รับมา เพราะเราเห็นไม่ชัดในความเป็นมรรตัย ไม่ใช่ทุกอย่างจะเข้าใจได้ในตอนนี้ อันที่จริง ข้าพเจ้าน่าจะคิดว่าหากทุกเรื่องเข้าใจได้ในตอนนี้ ก็แสดงว่าสิ่งนั้นถูกสร้างขึ้นจากความคิดมนุษย์ทั้งสิ้น จงจำที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา …

“เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” (อิสยาห์ 55:8–9)

แม้กระนั้น ท่านรู้ว่าจุดประสงค์หนึ่งของความเป็นมรรตัยคือการเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ของท่านมากขึ้น ทั้งในความคิดและการกระทำของท่าน ขอให้มองจากมุมมองนี้ว่า การค้นหาคำตอบให้กับคำถามของท่านสามารถนำท่านเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้า เสริมสร้างประจักษ์พยานของท่านแทนที่จะสั่นคลอนประจักษ์พยานนั้น เป็นความจริงที่ว่า “ศรัทธาไม่ใช่ … ความรู้อันสมบูรณ์” (แอลมา 32:21) แต่เมื่อท่านใช้ศรัทธา ประยุกต์ใช้หลักธรรมพระกิตติคุณทุกวันกับทุกสถานการณ์ ท่านจะชิมรสผลของพระกิตติคุณอันหอมหวาน และโดยผลนี้ท่านจะรู้จักความจริงของพระกิตติคุณ (ดู มัทธิว 7:16–20; ยอห์น 7:17; แอลมา 32:41–43)


ท่านเป็นนิรันดร์


มักจะมีเสียงต่างๆ บอกท่านว่าท่านช่างโง่เขลาที่เชื่อว่าตนเองเป็นหงส์ ยืนกรานว่าท่านเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ และท่านจะคาดหวังเป็นอย่างอื่นไม่ได้

แต่ท่านรู้ดีกว่านั้น เพราะพระคำของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาได้รับการเปิดเผย ท่านจึงเห็นเงาสะท้อนที่แท้จริงของท่านในน้ำ และรู้สึกถึงรัศมีภาพนิรันดร์ของวิญญาณอันสูงส่งภายในท่าน เพื่อนหนุ่มสาวที่รักของข้าพเจ้าทั่วโลก ท่านมิใช่สัตภาวะธรรมดา ท่านสวยงามและเป็นนิรันดร์

ไม่ว่าสภาวการณ์หรือการทดลองในชีวิตท่านเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าขอให้ท่านจดจำว่าท่านคือใคร ท่านมาจากไหน และท่านจะไปที่ใด—เพราะคำตอบของคำถามเหล่านี้จะให้ความมั่นใจและแนวทางสำหรับชีวิตท่าน

พระบิดาบนสวรรค์ของท่านทรงพระชนม์ พระองค์ทรงรู้จักท่าน พระองค์ตรัสกับท่านในยุคสุดท้ายนี้ผ่านศาสดาพยากรณ์และอัครสาวก ประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกในสมัยของเรา ศาสนจักรนี้กำกับดูแลโดยพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้ารู้สิ่งนี้ พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของศาสนจักรนี้

วันนี้ข้าพเจ้าอาจพูดกับท่านด้วยสำเนียงเยอรมัน—และมีข้อบกพร่อง—แต่ข้าพเจ้าสัญญาว่าถ้อยคำที่ท่านสัมผัสได้ในใจ ความคิด และจิตวิญญาณของท่านล้วนมาสู่ท่านโดยโวหาร ความบริสุทธิ์ และอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่านจะสามารถรู้ความจริงของทุกเรื่อง

พี่น้องทั้งหลาย—เพื่อนที่รักของข้าพเจ้า—ข้าพเจ้ารักท่าน และรักท่านสุดหัวใจ ข้าพเจ้าขอบคุณท่าน ขอบคุณความดีของท่าน ในฐานะอัครสาวกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ข้าพเจ้าอวยพรท่านโดยบุคคลและโดยรวมที่ท่านจะเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วท่านคือใคร ท่านต้องทำสิ่งใด และต้องเป็นเช่นไรเพื่อจะมีชีวิตที่มีความสุขและบริบูรณ์

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนและขออวยพรให้ยามที่ท่านมองเงาสะท้อนของตนเอง ท่านจะสามารถมองข้ามความบกพร่องและความสงสัยในตนเอง และรับรู้ว่าแท้จริงแล้วท่านคือบุตรธิดาผู้ล้ำเลิศของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน

© 2009 โดย Intellectual Reserve, Inc. สงวนสิทธิ์ทุกประการ อนุมัติภาษาอังกฤษ: 10/08 อนุมัติการแปล: 10/08 แปลจาก The Reflection in the Water.Thai PD50013492 425

Notes


1. William Shakespeare, Hamlet, ed. W. J. Craig, Oxford Shakespeare (1924), act 3, scene 1, line 56.