14:32

จอห์น ซี. แมกซ์เวลล์ ความท้าทายในห้วงวิกฤต ...จงไล่ล่าหาความฝัน...


จอห์น ซี. แมกซ์เวลล์ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นกูรูผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดด้านภาวะผู้นำประจำปี 2550 และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 25 นักเขียนเกียรติยศของ Amazon.com ผู้มีผลงานขายดีติดอันดับมากกว่า 12 ล้านเล่มทั่วโลก เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญภาวะผู้นำของอเมริกา และเคยบรรยายให้ผู้ฟังมาแล้วจำนวนหลายแสนคน

ล่าสุดเขาได้เดินทางมาประเทศไทย เพื่อบรรยายในหัวข้อ "Leadership Resilience : Winning in Challenging Times" เพื่อเตรียมพร้อมผู้บริหารชาวไทยทุกระดับขององค์กรให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่คนทั้งโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้


คุณพร้อมหรือยังที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

เสียงอันทรงพลังของแมกซ์เวลล์ ได้เรียกความสนใจของผู้เข้าร่วมสัมมนาที่ตั้งใจมาฟังหลักคิดดีๆ เพื่อไปประยุกต์ใช้กับองค์กร

แมกซ์เวลล์เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงความสำเร็จของเขาว่าเริ่มต้นมาได้อย่างไร

แมกซ์เวลล์บอกว่า สิ่งที่เขาทำในทุกๆ วันคือ เขาจะจดโน้ตเรื่องต่างๆ ไว้พร้อมกับให้ตัวอักษรกำกับ โดยสูตรของเขาจะมีทั้งหมด 3 ตัว ตัวแรกคือ apply การประยุกต์ไปหาสิ่งใหม่ ตัวที่สองคือ change การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ควรทำ และ teach or transfer การนำความรู้นั้นไปถ่ายทอดให้กับคนอื่น แล้วจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ โดยใส่เลข 1-10 กำกับไว้ สิ่งไหนที่ต้องนำไปประยุกต์ใช้ สิ่งไหนที่เขา จะใช้ในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้ดีขึ้น และสิ่งไหนที่จะนำไปสอนคนอื่น หลังจากนั้น 2-3 วันก็จะกลับมาทบทวนสิ่งที่โน้ตไว้อีกครั้งหนึ่ง แล้วทุกๆ เดือนก็จะกลับมาดูว่า ตัวเองมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

"วัฏจักรธุรกิจมีขึ้นมีลง หลายคนอาจจะมองว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก คุณจะทำอย่างไรที่จะผ่านพ้นไปได้ หลังจากที่โอบามาได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ หลายคนบอกว่าไม่อยากเป็นประธานาธิบดีในช่วงนี้ เพราะเป็นห้วงเวลาที่ย่ำแย่ แต่สำหรับผมแล้ว ผมบอกว่าอยากเป็นประธานาธิบดีในช่วงนี้ เพราะมันท้าทาย"

แมกซ์เวลล์บอกว่า ผู้นำที่ดีที่สุดคือ คนที่สามารถทำได้ดีที่สุด ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ผู้นำ คือคนที่มีความพยายามในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ รับได้กับทุกสถานการณ์ และก้าวไปสู่ความท้าทาย ดังนั้นช่วงเวลาที่มีความกดดัน มีความยากลำบาก ผู้นำที่แท้จริงจะปรากฏตัวออกมาอย่าง อับราฮัม ลินคอร์น ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ ในช่วงที่เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนทางเหนือกับคนทางใต้

แล้วผู้นำต้องทำอะไรบ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ประการแรก ผู้นำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่พยายามทำเวลาที่ยากลำบากให้ดูเหมือนปกติธรรมดา ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เผชิญหน้ากับความเป็นจริง สื่อสารกับ พนักงานแบบตรงไปตรงมาว่า บริษัทไม่เคยเจอมรสุมที่หนักขนาดนี้มาก่อน

ดังนั้นสิ่งแรกที่ผู้นำต้องทำ คือจะต้องประเมินสถานการณ์ ประเมินบริษัท แล้วตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลา พร้อมกับ ส่งสัญญาณไปยังพนักงานให้รับรู้สถานการณ์ว่าบริษัทย่ำแย่อย่างไร และในฐานะผู้นำ คุณจะทำให้องค์กรดีขึ้นอย่างไร คุณมีความมั่นใจที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เผชิญอยู่อย่างไร อย่าเอาแต่พูดปลอบใจพนักงาน เพราะบทเรียนครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพง

แมกซ์เวลล์บอกว่า เขาได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของแจ็ก เวลล์ ได้เขียนกฎของผู้นำที่ประสบความสำเร็จที่น่าสนใจไว้ 6 ข้อ ดังนี้

1.เราต้องควบคุมชะตาของเราเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาควบคุมชะตาชีวิตเรา

2.ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่ยึดติดกับภาพความสำเร็จเก่าๆ หรือสิ่งที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างไร

3.มีความซื่อสัตย์กับตัวเอง ลูกน้อง สังคม และคนรอบข้าง แสดงให้ทุกคนรู้ว่า คุณยืนอยู่ตรงไหน

4.อย่าคิดเป็นนักบริหารจัดการ แต่ให้คิดว่าเราต้องเป็นผู้นำ

5.เปลี่ยนตัวเองก่อนที่สถานการณ์จะบังคับเราให้ต้องเปลี่ยน

6.ถ้าไม่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบก็อย่าไปแข่งขัน เรียกว่าอย่ามัวเสียเวลาไปกับการแข่งขันกับคนอื่น ให้แข่งกับตัวเอง

จะเห็นว่า 5 ใน 6 ข้อของกฎความเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ได้พูดถึงความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา

"ในวันที่บริษัทของผมแย่ ผมตื่นขึ้นมาได้จากการควบคุมโชคชะตาของตัวเอง เปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ผู้บริหารจัดการ เมื่อผมกลับไปที่บริษัท ทำให้บริษัทเปลี่ยนแปลงกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังจากที่ได้ความล้มเหลวไปรอบหนึ่ง"

แมกซ์เวลล์ย้ำว่า กฎทั้ง 6 ข้อนี้สำคัญมาก เขาจะใช้เวลาในการทบทวนมันตลอดเวลา การเรียนเรื่องผู้นำนั้นง่าย แต่การจะปฏิบัติในฐานะผู้นำนั้นยาก การเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ใช่ทำให้คุณเป็นผู้นำที่ดีได้ มันมีข้อแตกต่างอยู่เยอะ เช่น เวลามีอะไรที่ยุ่งยาก ผู้นำที่ดีจะต้องตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ฉะนั้นสิ่งสำคัญจะต้องจดโน้ต ลำดับความสำคัญ เผชิญหน้ากับความเป็นจริง

เวลาที่ยุ่งยาก ผู้นำจะต้องทำอย่างไร

แมกซ์เวลล์บอกว่า สิ่งแรกที่ผู้นำต้องทำคือเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ประการที่สอง จะต้องมองภาพใหญ่ เพราะตรงนี้ถือว่าเป็น DNA หลักของผู้นำ

ผู้นำจะต้องเห็นสิ่งต่างๆ มากกว่าที่ผู้อื่นเห็น มีสายตาที่ยาวไกล มองเห็นทั้งแนวตั้งและแนวขวาง และที่สำคัญจะต้องเห็นก่อนผู้อื่น

คนส่วนใหญ่มักมองแค่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าแล้วลงมือทำ แต่คนที่มีภาวะผู้นำจะต้องมองไปข้างหน้า นอกจากจะแก้ปัญหาแล้วจะต้องรู้จักวิธีป้องกันสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เพราะผู้นำจะต้องเรียนรู้จากความล้มเหลว จะต้องไม่ให้เกิดความล้มเหลวหรือผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ ซ้ำสอง

หากจะประเมินว่าตัวเองมีภาวะผู้นำอยู่ในตัวหรือไม่ แมกซ์เวลล์แนะให้ดูจากการประชุม เมื่อมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้นแล้ว คุณเป็นคนสุดท้ายที่คิดออก นั่นหมายความว่าคุณไม่ใช่ผู้นำ แต่ถ้าคุณเห็นได้ก่อนคนอื่น คุณจะมองเห็นทางเลือกใหม่ๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้าคุณจะมีธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นวันที่แย่ที่สุดของใครหลายคน จึงเป็นวันที่ดีที่สุดของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เพราะผู้นำมักจะมองหาโอกาสในวิกฤตได้เสมอๆ

เพราะเขามองเห็นภาพใหญ่ ในขณะที่ทุกคนตื่นตระหนกตกใจกับวิกฤต หยุดทุกอย่าง คู่แข่งในธุรกิจต่างล้มหายตายจาก โอกาสในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตจึงเป็นของผู้นำที่มองเห็นภาพใหญ่

หลายต่อหลายครั้งที่เกิดวิกฤต หลายคนล้มละลาย หนี้สินล้นพ้นตัว แต่หลายคนสามารถยืนหยัดอยู่ได้ หลายคนสร้างโอกาสให้กับตัวเอง โดยเฉพาะผู้นำที่มีเงินอยู่ในกระเป๋า เวลาเศรษฐกิจไม่ดีเขาจะถือว่าเป็นโอกาสในการขยายการลงทุน ยกระดับความรวยของตัวเอง โดยการเข้าไปเทกโอเวอร์ธนาคาร หรือธุรกิจต่างๆ ที่กำลังจะไปไม่รอด เพราะสินค้าเหล่านี้นอกจากจะเป็นสินค้าที่ดีแล้วยังราคาถูก แถมยังได้การลดหย่อนภาษีต่างๆ จากรัฐบาลพ่วงท้ายมาอีกด้วย



John C. Maxwell
------------------


ท่ามกลางวิกฤตมีทางเลือกอะไรบ้าง 

แมกซ์เวลล์ชี้ช่องว่า ผู้นำต้องเผชิญหน้ากับความจริง จัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ แล้วตัดสินใจอย่างกล้าหาญและสร้างสรรค์ เลือกทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน แล้วเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เลวร้าย 

ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตจะต้องเอาความคิดดีๆ มาแบ่งปันกัน เพราะการที่มีความคิดที่ดีจำนวนมากจะทำให้เรามีพลัง 

ผู้นำที่ดีจึงจำเป็นที่จะต้องมีทีมที่ดี ยิ่งเจอวิกฤตมากเท่าไหร่ยิ่งต้องมีคนคุณภาพคอยรับมือมากเท่านั้น ถ้าต้องขึ้นยอดเขา เอเวอเรสต์ ก็ต้องมีทีมงานที่ดีในการขึ้นพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ เพราะถ้าเมื่อใดปัญหาที่ท้าทายอยู่ในระดับ 10 แต่ทีมงานที่มีอยู่คุณภาพแค่ระดับ 3 องค์กรก็คงไปได้แค่ระดับ 3 หากวิกฤตอยู่ที่ระดับ 7 แล้วทีมงานคุณภาพระดับ 7 ก็จะพอจะผ่านวิกฤตไปได้ แต่หากวิกฤตระดับ 7 แต่ทีมงานคุณภาพระดับ 9 ความสำเร็จก็รออยู่ข้างหน้า 

นี่คือความสำคัญของการมีคนเก่งในองค์กร การมีทีมงานที่ดีในองค์กร ฉะนั้นวันนี้ทุกคนจะต้องกลับไปดูองค์กรของตัวเองว่ามีทีมงานที่เก่งแค่ไหน แล้วจะพัฒนาทีมงานของคุณให้เก่งขึ้นได้อย่างไร เพราะโอกาสข้างหน้ายังต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมาย 

"คนที่วิ่งเร็วอาจไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป แต่คนที่ไปก่อนอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้ ฉะนั้นในขณะที่ทุกคนหยุด แต่ถ้าคุณก้าวไปข้างหน้า แยกตัวออกจากคนที่อยู่เฉยๆ ความสำเร็จก็เกิดขึ้นได้" 

แมกซ์เวลล์บอกว่า ผู้นำจะต้องมีทัศนคติที่ดีเวลามีอุปสรรค ต้องเชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานั้นไปได้ ในห้วงของวิกฤตเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะพูดถึงความฝัน ทุกคนต้องเงยหน้าขึ้นหาความฝัน เพราะห้วงเวลานี้ไม่มีอะไรที่ทำให้คนมีความหวังได้มากเท่ากับความฝัน ไม่มีอะไรทำให้คนกระปรี้กระเปร่าได้เท่ากับความฝัน 

ในช่วงที่ผ่านมา เขาจึงเลือกที่จะทำวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องความฝัน โดยเก็บข้อมูลทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า คนส่วนใหญ่ 85% มักปล่อยให้ความฝันหลุดลอยไป เขาจึงตามไปดูว่าทำไมคนเหล่านี้ปล่อยให้ความฝันหลุดลอยไป สุดท้ายก็พบว่า หากไม่มีเหตุผลที่แข็งขันในการไล่ล่าความฝัน คุณก็จะยอมแพ้ได้ 

แมกซ์เวลล์ตั้งคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับเหตุผลในการทำให้บรรลุความฝัน แล้วสรุปจาก 37 ข้อเหลือ 10 ข้อ และเขาได้หยิบยกเหตุผลบางข้อมาเล่าให้ฟังในงานสัมมนาครั้งนี้ว่า การไล่ล่าความฝันก็เหมือนการทำข้อสอบ จะต้องค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับคำถามเหล่านั้น 

คำถามข้อแรก 
แมกซ์เวลล์บอกว่าอาจจะไม่มีความสำคัญมากไปกว่าข้ออื่นๆ แต่จะต้องถามคำถามนี้ก่อน นั่นคือความเป็นเจ้าของความฝันนั้น 

ทุกคนจะต้องถามตัวเองว่า ความฝันนั้นเป็นของคุณจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเป็นความฝันของเพื่อน เป็นความฝันของพ่อแม่ หรือเป็นความฝันของเจ้านาย 

คนเราทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ มักจะอาศัยอยู่บนความฝันของคนอื่น คนแรกๆ ที่เอาความฝันอันยิ่งใหญ่มาใส่ตัวเราก็คือพ่อแม่ ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่สิ่งที่แย่ แต่เป็นสิ่งที่วิเศษ พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกฉลาด อยากให้ลูกเก่ง ก็พยายามใส่สิ่งที่ดีที่สุด วาดฝันไว้กับลูกมากมาย นั่นหมายความว่าความฝันในช่วงวัยเด็กส่วนใหญ่จะเป็นความฝันของคนอื่น บางคนอายุเหยียบเลข 50 แล้วก็ยังอยู่บนความฝันของคนอื่น 

ดังนั้นวันนี้ทุกคนต้องหันมาดูว่า ความฝันที่มีอยู่เป็นความฝันของตัวเองหรือเปล่า เพราะนี่คือวิสัยทัศน์ที่จะทำให้คุณบรรลุความฝันนั้น เพราะถ้าคุณเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอย่างแข็งขัน คุณก็จะไม่ยอมปล่อยความฝันให้หลุดลอย แล้วจะทำสิ่งนั้นให้บรรลุ 

หลายต่อหลายคนสูญเสียความฝัน เพราะไม่เคยมีความฝันของตัวเองอย่างแท้จริง และไม่แข็งขันที่จะทำตามความฝันนั้นอย่างแท้จริง 

วิถีทางหนึ่งที่จะทำความฝันให้เป็นจริง คือต้องยอมพนันขันต่อกับตัวเอง ยอมลงทุน ลงแรง ลงเวลา แล้วคุณก็จะเปลี่ยนจากผู้เชื่อธรรมดาเป็นผู้เชื่ออย่างแข็งขัน ฉะนั้นต้องถามตัวเองให้ชัดว่า ความฝันนั้นเป็นความฝันของตัวเองหรือเปล่า 

คำถามข้อที่สอง คุณมองเห็นความฝันนั้นชัดเจนหรือเปล่า 

แมกซ์เวลล์บอกว่า ในปี 1976 เขามุ่งมั่นอย่างจริงจังในการที่จะเป็นผู้ฝึกอบรม เป็นผู้ที่รู้เรื่องความเป็นผู้นำที่ดีที่สุด ขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แล้วจะไปได้ไกลขนาดไหน ภาพที่เขาเห็นจึงเป็นภาพเล็กๆ แต่ต้องชัดเจนและเป็นภาพที่สมบูรณ์ เพราะถ้าภาพไม่ชัดก็จะไม่มีพลัง ไม่จูงใจ ในอเมริกาจะมีคำพูดหนึ่งที่พูดกันเสมอนั่นคือ ถ้าคุณเชื่อ คุณก็จะบรรลุ ถ้าคุณเชื่อ คุณก็จะไปถึง ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้ 

แต่อย่างไรก็ตาม การที่คุณก็จะทำได้ ปัจจัยต่างๆ ในการไล่ล่าความฝันจะต้องเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ 

ดังนั้นเมื่อมีความฝันเป็นของตัวเอง มองเห็นภาพความฝันชัด ก็จะต้องมาแยกว่าปัจจัยที่จะไปถึงความฝันนั้น มีปัจจัยอะไรที่ควบคุมได้บ้าง แล้วมีปัจจัยอะไรที่ควบคุมไม่ได้บ้าง แล้วคุณก็จะมีศักยภาพในการพัฒนาความฝันนั้นให้บรรลุได้ 

การเริ่มต้นความฝันเป็นเรื่องฟรี แต่การเดินทางไปถึงความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องฟรี ทุกความคิดมีต้นทุน สิ่งที่จะประกันความสำเร็จคือจะต้องจ่ายต้นทุนล่วงหน้า หลายต่อหลายคนอาจติดกับดักความสำเร็จ เพราะเมื่อเขาเดินไปถึงความฝัน เขาอาจจะต้องสูญเสียครอบครัว สูญเสียสิ่งต่างๆ มากมาย หลายคนจึงตัดสินใจหยุดไล่ล่าความฝันกลางคัน 

แมกซ์เวลล์บอกว่า นิยามของคำว่า ความสำเร็จในการไล่ล่าความฝันนั้นขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะนิยามอย่างไร 

แต่สำหรับเขาแล้ว ความสำเร็จคือการที่คนใกล้ชิดเขามากที่สุดรักและเคารพเขามากที่สุด ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักเขาดีเคารพและรักเขามากที่สุด 

ดังนั้นผู้นำจะต้องทำให้คนในองค์กรรักและเคารพคุณมากที่สุด จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมที่สุด 


Special Issue 
วันที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4121 






0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น